ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ล้านนาคำเมือง |
ผู้เขียน | ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เผยแพร่ |
อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “หมาก”
ในเอเชียหลายชาตินิยมกินหมากมาตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว เขมร พม่า มอญ อินโดนีเซีย คนล้านนาก็เป็นเช่นเดียวกัน
คนล้านนาโบราณ ทั้งหญิงชายกินหมากทั้งสิ้น กินแบบดิบ แบบตากแห้ง กินกับใบพลู ปูน สีเสียด เส้นยาสูบ เปลือกต้นก่อ กานพลู เป็นต้น โดยเอาปูนป้ายใบพลู เอายางจากต้นสีเสียดซึ่งมีรสฝาดมาแก้ความเป็นกรดของปูน เอาเปลือกก่อมาทุบให้เป็นเส้นๆ ก่อนนำมารวมกับหมากเป็นคำ เรียกว่า “สุบหมาก”
หมากยังมีบทบาทในพิธีกรรมวิถีล้านนาเสมอ เพียงแต่ปรากฏรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น หมากรวมทั้งพลู ที่ใส่ลงไปในขันตั้ง ใช้ในพิธีกรรมไหว้ครู สืบชะตา ดำหัว ฯ
ผลหมากสดที่เอามาจัดเป็นพุ่มถวายเจ้านาย ถวายวัด เรียกว่า “หมากเบ็ง” ถ้าเอาหมากแห้งที่ร้อยเป็นสายที่เรียกว่า หมากไหม มาจัดเป็นพุ่มทำนองเดียวกัน เรียกว่า “หมากสุ่ม” ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นได้จากขบวนแห่ครัวทานทางภาคเหนือ
ในเมื่อหมากมีความสำคัญ คนล้านนามักจะปลูกต้นหมาก ต้นพลู เอาไว้ในบ้านเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้หมากพลูขาดมือ
หมากในอดีตกาล ถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง มีการเก็บภาษีหมาก ใครปลูกหมากมากก็เสียภาษีมาก
แล้วหมากก็กลายเป็นพืชการเมือง เมื่อการเก็บภาษีหมากทวีความโหด มหาโหดเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประมูลภาษีได้ มากขึ้นเรื่อยๆ
คนปลูกหมากได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จึงเข้าร้องเรียนต่อ “พญาผาบ” หรือ “พระยาปราบสงคราม” ซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่น ในสมัยนั้นมีระดับยศเทียบเท่ากำนัน
พญาผาบตัดสินใจเข้าข้างกับชาวบ้านออกเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรม
จนเกิด “กบฏพญาผาบ” ขึ้นที่ตำบลหนองจ๊อมและแขวงกอก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2432
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คนล้านนาผู้นิยมเคี้ยวหมากได้รับความเดือดร้อนหนัก เพราะหมากขาดแคลน
อำเภอสันทรายในสมัยนั้นเป็นที่อพยพหลบภัยญี่ปุ่นของคนจากเวียงเชียงใหม่ หลายๆ คนหันมาขายหมาก ซึ่งยามนั้นหมากขายดิบขายดีมีราคาสูง
กระทั่งทำให้คนจำนวนหนึ่งถึงกับร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้จากการค้าหมากล้วนๆ
ถึงยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลมีนโยบายห้ามเคี้ยวหมาก โดยอ้างว่าน้ำหมากทำให้บ้านเมืองสกปรก ทั้งประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่เคี้ยวหมากกัน
ทางการออกคำสั่งให้ตัดต้นหมาก ต้นพลูทั่วประเทศ
จากนั้นมาการเคี้ยวหมากของคนไทย รวมทั้งคนล้านนาก็ค่อยๆ หายไป
ทุกวันนี้บางบ้านในล้านนายังคงมีต้นหมาก ต้นพลูเหลือรอดมาได้ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก
แต่อำเภอสันทรายก็ยังคงเป็นแหล่งการค้าหมากที่สำคัญของภาคเหนือ
หมากดิบขายกันลูกละ 1 บาทในหน้าฝน และมีราคาสูงถึงลูกละ 5-7 บาทในยามแล้ง
ส่วนหมากไหม ปีนี้ ราคาดีมาก ราคาส่งคือ 100 เส้น ตก 2,000 บาท ราคาที่ร้านค้า 100 เส้น ขายกัน 2,500 บาท ถ้าขายปลีกตกเส้นละ 28-30 บาท
นับว่ามีราคาสูงลิ่วทีเดียว