ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ศึกรัสเซียจุดชนวนความขัดแย้งใหญ่ในอนาคต

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ภาพคนมือเปล่าตายเกลื่อนถนนทางตอนเหนือของเมืองหลวงยูเครนเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจ

และด้วยความขนพองสยองเกล้าของภาพศพกระจายไปทั่ว รัสเซียทำให้สถานการณ์ยูเครนมาถึงขั้นตอนใหม่ที่ไม่มีทางหวนกลับไปได้ นั่นก็คือคนจำนวนมากรู้สึกว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามโลกอย่างสมบูรณ์

ด้วยภาพศพผู้บริสุทธิ์ถูกมัดไพล่หลังหรือยิงด้านหลังจนตาย รวมทั้งด้วยภาพครอบครัวซึ่งถูกยิงตายพร้อมกันสามชีวิต

กองทัพรัสเซียได้แสดงความอำมหิตระดับเดียวกับอาชญากรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญในแบบที่เราได้ยินในทุกประเทศทั่วโลก

เพียงแต่กรณีนี้ผู้ก่อเหตุคือรัฐที่กลายเป็นฆาตกร

ยิ่งทหารรัสเซียล่าถอยจากพื้นที่ต่างๆ ในยูเครน ความอำมหิตของกองทัพรัสเซียก็ยิ่งปรากฏให้เห็นมากขึ้น

ภาพหลุมศพยักษ์ที่เมืองบูคาซึ่งคนยูเครนถูกฆ่ามากจนต้องฝังรวมคือปฐมบทของการฆ่าหมู่ที่คนตายไม่ต่ำกว่า 410 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสองขวบ และอีกรายคือหญิงสาวที่ถูกยิงต่อหน้าแม่เธอ

นอกเหนือจากศพคนเกลื่อนถนนที่ลุกลามเป็นการพบหลุมศพขนาดใหญ่และการฆ่าหมู่ประชาชนที่บูคา สื่อยูเครนอย่าง Yevhen Spirin และ ส.ส.ยูเครนยังพูดถึงการฆ่าที่เมืองอื่นๆ ซึ่งพบศพเด็กสภาพถูกมัดมือ, เด็กผู้หญิงอายุ 10 ขวบที่ช่องคลอดฉีกขาด รวมทั้งผู้หญิงที่ถูกข่มขืนแล้วฆ่าด้วยเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น Mikhail Palinchak ช่างภาพแนวสตรีตชาวยูเครนยังบันทึกภาพจากทางด่วนชานกรุงเคียฟในวันที่ 2 ซึ่งปรากฏศพผู้หญิง 4-5 ราย ในสภาพเปลือยเปล่าแต่มีร่องรอยของการถูกเผาด้วยเช่นเดียวกัน

ทวิตเตอร์ของ ส.ส.ยูเครน ชื่อ Lesia Vasylenko เผยแพร่ภาพหญิงชาวยูเครนคนหนึ่งซึ่งทหารรัสเซียทรมานก่อนข่มขืนแล้วฆ่า แต่อำมหิตกว่านั้นคือทหารรัสเซียตีตราสวัสดิกะของนาซีบนตัวเธอหลังจากเสียชีวิต หรือพูดตรงๆ คือทหารรัสเซียย่ำยีเธอขณะมีชีวิต ซ้ำยังเหยียบย่ำหลังจากฆ่าเธอตาย

Bethan Mckernan นักข่าวแนวข่าวเจาะ (Investigative Journalist) เปิดเผยในเว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยนว่า อัยการและสื่อยูเครนกำลังรวบรวมข้อมูลทหารรัสเซียข่มขืนหมู่, ข่มขืนขณะเอาปืนจ่อ, ข่มขืนต่อหน้าเด็ก และตรวจรอยสักที่แสดงความรักชาติของคนยูเครนก่อนที่จะเกิดการฆ่าหมู่ต่อเนื่องตามมา

ในการตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดโดย New York Times ทหารรัสเซียทำกระทั่งยิงคนขี่จักรยานจนเสียชีวิต ส่วนสื่อยูเครนก็มีการเผยแพร่คลิปที่คนยูเครนเดินข้างถนนแล้วถูกทหารรัสเซียยิงตาย

และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือเศษเสี้ยวของหลักฐานว่ารัสเซียฆ่าพลเรือนที่ไม่เกี่ยวอะไรเลย

แน่นอนว่ารัสเซียไม่ยอมรับว่าทหารรัสเซียเป็นผู้ลงมือก่อเหตุทั้งหมด แต่ก็เหมือนอาชญากรรมยามสงครามกรณีอื่นๆ ที่รัสเซียมักตอบโต้ด้านการข่าวโดยไม่มีข้อเท็จจริง

“ไอโอ” รัสเซียประกาศว่าเหตุการณ์ฆ่าเป็นเรื่องลวงโลก ยูเครนยิงกันเอง และเหตุเกิดหลังจากไม่มีทหารรัสเซียในพื้นที่ต่อไป

อย่างไรก็ดี ด้วยเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมในปัจจุบัน หลักฐานที่ปรากฏคือศพจำนวนมากถูกยิงตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัสเซียยึดเมืองดังกล่าวไว้ได้ทั้งหมด

ยิ่งกว่านั้นคือทหารรัสเซียยิงแล้วทิ้งศพไว้เกลื่อนถนนถึงต้นเดือนเมษายาจนกระทั่งมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานมัดตัวเอง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์ยิ่งขึ้น พล.อ.เยนส์ ชโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตระบุว่า การฆ่าหมู่คนยูเครนเป็นความโหดเหี้ยมต่อประชาชนที่ไม่มีในยุโรปมานานนับทศวรรษ

นั่นหมายความว่ามีโอกาสอย่างสูงที่หลังจากนี้มาตรการต่างๆ ที่ยุโรปหรือโลกตอบโต้รัสเซียจะเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่การบุกยูเครนทำให้นานาประเทศคว่ำบาตรรัสเซียอย่างไม่เคยทำมาเลย การฆ่าหมู่ยูเครนก็ทำให้หลายประเทศขับไล่นักการทูตรัสเซียแทบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เยอรมนีไล่นักการทูตรัสเซีย 40 ราย, อิตาลีไล่ 30 ส่วนเดนมาร์กไล่อีก 15 และมีแววที่ประเทศอื่นจะทำแบบนี้อีกด้วยเช่นกัน

รัสเซียกำลังเข้าตาจนในศึกยูเครน แต่เหตุที่ทำให้รัสเซียเข้าตาจนไม่ได้มาจากการเมืองเรื่องการแก่งแย่งอำนาจระหว่างสหรัฐ-จีน-รัสเซีย

หากมาจากการทำสิ่งที่เกินเลยบรรทัดฐานโลกปัจจุบันแทบทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นการยึดดินแดนประเทศอื่น, การข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และการฆ่าหมู่พลเรือน

ก่อนจะปรากฏหลักฐานเรื่องการฆ่าหมู่ซึ่งลุกลามสู่การข่มขืนและฆ่าเด็ก

ประเทศที่ต่อต้านรัสเซียไม่ได้มีมุมมองเรื่องวิธีแก้ปัญหารัสเซียแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เยอรมนีระมัดระวังการเผชิญหน้าทางทหารกับรัสเซียเป็นพิเศษ ขณะที่หลายประเทศคิดว่าการส่งอาวุธช่วยยูเครนเป็นเรื่องที่ควรทำ

ด้วยความอำมหิตของรัสเซียที่ก่อเหตุฆ่าหมู่ยูเครนจนเริ่มมีคนเชื่อว่า “วาระ” จริงๆ ของรัสเซียอาจถึงขั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยูเครน (Genocide)

ท่าทีของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันก็เริ่มขมวดเกลียวเข้ามาคล้ายคลึงกันมากขึ้นด้วยเหตุผลง่ายๆ คือความรู้สึกว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามเริ่มก่อตัวขึ้นมา

สื่ออังกฤษจำนวนหนึ่งรายงานการสังหารหมู่ในยูเครนว่าเลวร้ายกว่า ISIS

หรืออีกนัยหนึ่งคือการทำให้เห็นว่ารัสเซียวันนี้คือภัยคุกคามโลกยิ่งกว่าการก่อการร้าย

และถ้าหากโจทย์ข้อนี้เป็นจริง ทางออกของเรื่องนี้ก็ย่อมได้การร่วมมือกันเพื่อทำให้รัสเซียไม่ใช่ภัยคุกคามโลกได้ต่อไป

โลกหันหลังให้รัสเซีย และการเชิญผู้นำยูเครนไปปราศรัยต่อคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ, สหภาพยุโรป และรัฐสภาประเทศต่างๆ คือปฏิบัติการทางการทูตที่ทำให้ไม่มีประเทศใหญ่ๆ อยู่ข้างรัสเซียแล้ว

อย่างมากที่สุดก็คือแค่ไม่ตำหนิรัสเซียตรงๆ อย่างอินเดีย, จีน หรือตุรกี

 

ผมเคยเขียนตั้งแต่เดือนมีนาคมว่ารัสเซียจะไม่ชนะยูเครนเพราะปัญหากำลังพล, ขาดเสบียง และความอ่อนแอของการรบภาคพื้นดิน และการที่รัสเซียต้องถอนทหารรอบเมืองหลวงหลังรุกรานกว่าหนึ่งเดือนคือหลักฐานว่ายูเครนยันรัสเซียสำเร็จ แต่ทั้งหมดนี้ไม่เท่ากับว่าสถานการณ์จะเลวร้ายน้อยลง

ผู้นำยูเครนพูดต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงว่ายูเครนคือเมืองหลวงของประชาธิปไตย ส่วนการต่อต้านรัสเซียสำเร็จเพราะความร่วมมือของผู้รักในสิทธิเสรีภาพ

และถึงแม้คำพูดนี้อาจจะฟังเหมือนคำปราศรัยไปนิด แต่ความสนับสนุนด้านอาวุธและข่าวสารก็ทำให้ยูเครนยันรัสเซียได้จริงๆ

แม้สถานการณ์ยูเครนจะลดความร้อนแรงจากการสู้รบในเขตเมืองหลวงที่ลดลง แต่ทหารรัสเซียยังคงยึดครองดินแดนยูเครนภาคใต้และภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ความต้องการของยูเครนในการทวงประเทศจากผู้รุกรานจึงมีแน่ๆ เช่นเดียวกับโอกาสเกิดการโจมตีระลอกใหม่จากกองทัพรัสเซีย

ยิ่งยูเครนยึดพื้นที่รอบเคียฟและเมืองใหญ่อื่นๆ โลกก็ยิ่งพบหลักฐานว่ารัสเซียฆ่าคนยูเครนโดยวิธีที่งอำมหิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งหมายความว่าแรงกดดันทางศีลธรรมให้ประเทศต่างๆ แสดงการต่อต้านรัสเซียก็จะมากขึ้นไปอีก

เช่นเดียวกับการขยายตัวของความรู้สึกว่ารัสเซียคือภัยคุกคามโลกปัจจุบัน

 

ด้วยการต่อต้านรัสเซียทางการทูตและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ยกระดับขึ้นทุกวัน รัสเซียกำลังถูกบีบให้เข้าสู่มุมอับทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศขึ้นไปอีก

ยิ่งกว่านั้นคือมุมอับนี้ยังไม่มีทางออกให้ทั้งกับยูเครน, รัสเซีย และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้แม้แต่นิดเดียว

ยูเครนต้องการดินแดนคืนจากรัสเซีย ส่วนรัสเซียต้องการแบ่งแยกประเทศยูเครนและไม่รับผิดชอบอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ขณะที่นานาอารยประเทศต้องการควบคุมไม่ให้รัสเซียกร่างจนเป็นภัยคุกคามยุโรปและประเทศอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือความต้องการที่ทุกฝ่ายเดินหน้าชนกันอย่างเต็มตัว

ปูตินมีอำนาจในรัสเซียทั้งนายกฯ และประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 1999 หรือเท่ากับยึดประเทศนี้มาแล้ว 23 ปี คนแบบนี้มองตัวเองเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิที่ไม่มีวันยอมแพ้ใคร

สิ่งที่ปูตินจะทำในความขัดแย้งแบบนี้คือการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามเพื่อนำไปสู่การออกจากมุมอับที่กำลังตีบตัน

รัสเซียกำลังจะมีการเดินขบวนใหญ่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และสิ่งแรกที่คนอย่างปูตินต้องการคือการมีอะไรสักอย่างให้โฆษณาชวนเชื่อกับคนรัสเซียว่าปูตินชนะยูเครนได้ในที่สุด รัสเซียจึงมีโอกาสก่อสงครามโจมตียูเครนอีกครั้งแน่ๆ ด้วยเหตุผลภายในประเทศและภายนอกอย่างที่กล่าวไป

ช่วงเวลาที่รัสเซียถอยทัพจากเคียฟคือช่วงเวลาที่ยูเครนและรัสเซียมีโอกาสเตรียมทำสงคราม การโจมตีของรัสเซียคราวหน้าจึงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงกว่าที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าการตอบโต้ของโลกต่อรัสเซียก็จะรุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน

ความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างประเทศคืออนาคตที่ไม่ไกล