ความในใจ จาก ‘น้องช่อ ก้าวหน้า’ ถึง ‘พี่อิ๊ง เพื่อไทย’ | เปลี่ยนผ่าน

วันที่ 25 มีนาคม รายการ “The Politics ข่าวบ้านการเมือง” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี มีนัดพูดคุยกับ “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ว่าด้วยสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน

หนึ่งในประเด็นที่เราชวน “ช่อ พรรณิการ์” สนทนา ก็คือบทบาททางการเมืองล่าสุดของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” บุตรสาวคนสุดท้องของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร”

คำถามประเดิมเริ่มแรกมีอยู่ว่า ในฐานะสุภาพสตรีเหมือนกัน ช่อมองอย่างไรกับการเปิดตัวเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ของอุ๊งอิ๊ง

กรรมการบริหารคณะก้าวหน้าขออนุญาตปรับเปลี่ยนประเด็นในเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับแพทองธารเล็กน้อย

“จะบอกว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็แหม ไม่เกี่ยวกับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะคะ จริงๆ ช่อกับพี่อิ๊งเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรัฐศาสตร์ จุฬาฯ พี่อิ๊งแก่กว่าสองปี ช่อเข้าปีหนึ่ง พี่อิ๊งอยู่ปีสาม แล้วก็โดนแซวด้วยว่าหน้าเหมือนกัน ตอนอยู่คณะ ก็จะโดนแซวว่าเป็นคนที่หน้าคล้ายกันสองคน”

ก่อนที่ “น้องช่อ” จะแสดงความเห็นใจ “พี่อิ๊ง” กับชีวิตในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ท่ามกลางบริบทรัฐประหารปี 2549

“ช่อได้รับรู้มาเยอะเรื่องที่ตอนนั้นการเมืองมันก็แรง ช่อเข้าปีหนึ่งปี 2549 ปีที่คุณทักษิณถูกรัฐประหารพอดี เพราะฉะนั้น พูดตรงๆ ก็คืออาจารย์ที่จุฬาฯ จำนวนมากก็เรียกว่าเป็น ‘พันธมิตร’ น่ะค่ะ คือเกลียดคุณทักษิณมาก แล้วก็กระแหนะกระแหนกระทบกระทั่งกับพี่อิ๊งสมัยเรียน ไม่เคยได้ยินกับหูนะคะ แต่ก็เป็นเรื่องที่เล่ากันในคณะว่าพี่อิ๊งเนี่ย ‘โดนเยอะ’ ในสมัยที่เรียน”

 

ตัดภาพกลับมายังสถานการณ์ ณ พ.ศ.2565 ช่อมองว่าตลอดระยะประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการ “รีแบรนด์” หรือ “ดิสรัปต์” ตัวเองอย่าง “น่าตื่นเต้น”

ผ่านการคิดกิมมิกและอีเวนต์ต่างๆ ที่มุ่งจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นโหวตเตอร์ที่โตไม่ทัน “ยุคทักษิณ” มากขึ้น

แน่นอนว่า สถานภาพ “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ของอุ๊งอิ๊ง ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดังกล่าว

“การเอาพี่อิ๊งเข้ามา ช่อคิดว่าก็ทำให้พรรคกระชุ่มกระชวย ดูกระฉับกระเฉง มีคนรุ่นใหม่เข้ามานำ แน่นอน หลายคนก็วิจารณ์ว่าเป็นนามสกุลชินวัตร ช่อคิดว่าเรื่องนามสกุลไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ไปกีดกันหรือแบ่งแยกทางการเมือง ไม่ว่าสำหรับใครทั้งสิ้น

“จริงๆ นามสกุลไหน ยังไง ก็ทำการเมืองได้หมด มันอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนว่าประชาชนจะเลือกพรรคเพื่อไทยด้วยเหตุผลอะไร

“จะเลือกด้วยเหตุผลว่ามี ส.ส.ที่ทำงานดี ติดพื้นที่ มีผู้นำที่ดี มีแคนดิเดตนายกฯ ที่ดี ยิ่งมีแคนดิเดตนายกฯ มี ส.ส.ที่ดี แข่งกันทำผลงาน ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด

“โดยสรุป จริงๆ พี่อิ๊งก็ยังไม่ได้เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ เพียงแต่เป็นการคาดเดากันไป เพราะฉะนั้น ช่อยังคิดว่ามันเหลือเวลาอีกตั้งปีหนึ่งกว่าจะเลือกตั้ง ถ้ายังไม่ยุบสภา ก็ยังไม่รู้ว่าพี่อิ๊งจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

“แต่ถ้าเป็น ช่อก็คิดว่าเป็นแคนดิเดตที่เหมาะสม ทั้งด้วยคุณวุฒิ-วัยวุฒิอะไรต่างๆ ก็น่าจะทำให้แคมเปญเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยมีสีสันน่าสนใจ แล้วก็จับใจคนรุ่นใหม่ได้มากพอสมควร ซึ่งดีค่ะ ช่อก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพรรคการเมืองอื่นๆ จะก้าวไกล จะประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย จะงัดกลเม็ดขึ้นมาในการแข่งขันอย่างไร

“ยิ่งงัดขึ้นมาแข่งขันกันได้อย่างมีลีลา มีเนื้อหาที่ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนอย่างเราได้ประโยชน์เท่านั้น”

 

เมื่อถามว่าการขึ้นมานำพรรคเพื่อไทยของคนรุ่นใหม่เช่นอุ๊งอิ๊ง คือการประกาศตัวเป็นคู่แข่งกับพรรคก้าวไกลหรือไม่?

ช่อ พรรณิการ์ ซึ่งนิยามตนเองเป็น “คนนอก” ของพรรคก้าวไกล พูดตรงๆ ว่า อย่างไรเสีย พรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลก็ต้องเป็นคู่แข่งขันทางการเมืองกันอยู่แล้ว

มิหนำซ้ำ เธอยังมองว่า ถ้าอุ๊งอิ๊งกับ “ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” มีโอกาสลงสนามเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำประเทศพร้อมกัน นี่ก็จะเป็นสองแคนดิเดตนายกฯ ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน

จนทำให้การเมืองไทยกลับมาน่าสนใจ และประชาชนจะรู้สึกกระตือรือร้นอยากออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

“ที่บอกว่าแตกต่างกัน ไม่ใช่พี่อิ๊งเป็นผู้หญิง แล้วคุณพิธาเป็นผู้ชายนะ ช่อเป็นคนไม่ชอบให้คิดแบบนี้ว่าเรื่องความเป็นผู้หญิง-ผู้ชายมันเป็นสิ่งสำคัญในการเมือง แต่ช่อคิดว่าพี่อิ๊งเป็นสไตล์แบบที่… คือการมีพ่อเป็นคุณทักษิณ ก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่าเป็นทั้งข้อดีและความท้าทาย

“คือคุณทักษิณเป็นนายกฯ มาก่อน คนรักเยอะ คนเกลียดก็มี เพราะฉะนั้น การเป็นลูกคุณทักษิณ คือถ้าถามช่อ ช่อรู้สึกว่าสู้ไม่เป็นลูกใครเลยยังดีกว่า คือแบบว่าพอมันเป็นลูกเป็นหลานใครแล้ว ต้องมารับภาระในสิ่งที่เราไม่ได้ก่อขึ้นใช่ไหมคะ

“แต่ช่อคิดว่าพี่อิ๊งก็คงอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตลอดชีวิต แล้วก็เป็นสิ่งที่พี่อิ๊งก็เต็มใจที่จะพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้วว่า… มันก็ได้ทั้งสองทาง เฮ้ย! ฉันไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของพ่อฉัน คือตัวฉันที่มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถ คือถ้าถามช่อนะ ช่ออยากเห็นแบบนั้น ว่าแบบฉันคือตัวฉัน อย่ามองว่าฉันเป็นลูกใคร ฉันมีวิสัยทัศน์แบบนี้

“แต่ถ้าเกิดว่าพี่อิ๊งหรือทางเพื่อไทยจะเลือกอีกแบบหนึ่งบอกว่า ใช่ ฉันเป็นลูกของทักษิณ แล้วฉันจะมาสานต่อสิ่งที่พ่อทำไว้และไม่สำเร็จ เพราะว่าถูกรัฐประหารไปเสียก่อน หรือว่าสำเร็จแล้วแต่มันไม่ได้ต่อเพราะถูกรัฐประหารไป ฉันจะมาสานต่อสิ่งนี้ คือมันเป็นสองแบบ ที่เราเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหน คนที่เป็นแฟนของเพื่อไทยก็น่าจะโอเคทั้งสองแบบ

“ที่เป็นโจทย์ของเพื่อไทยก็คือคนที่ไม่เคยเลือกเพื่อไทยมาก่อน คุณก็ต้องลองชั่งใจว่า (จะเลือกนำเสนอภาพอุ๊งอิ๊ง) แบบไหน”

นี่คือการประเมินด้วยสายตาของ “คนตามการเมือง” ที่พยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ถ้าให้พูดจากใจจริง ก็ดูเหมือน “น้องช่อ” จะมีภาพ “พี่อิ๊ง” แบบหนึ่งอยู่ในความคิดของตนเอง

“สุดท้ายแล้ว ถ้าพี่อิ๊งได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยจริงๆ อาจจะมาแบบนี้เลยก็ได้ว่าไม่ต้องมองที่ใครเป็นลูกใคร ให้มองที่วิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถของฉัน ในฐานะเราเป็นคนที่ชอบแบบ ‘สตรอง แคแร็กเตอร์’ ผู้หญิงสวยอะไรแบบนี้ด้วย ช่อคิดว่าแบบนี้จะน่าสนใจ”

ชมคลิปที่ https://www.youtube.com/watch?v=IZjAKBadYq0