บางอย่างในความรักของเรา (1) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (1)

 

ข่าวคราวการเลิกราของเธอมาถึงหูของผมในวันหนึ่ง อาจเป็นเดือนเมษายนที่ลมแล้งกลายเป็นลมร้อน หรืออาจเป็นในเดือนพฤษภาคมที่ฝนแรกๆ เริ่มมีเค้าว่าจะมา ผมจำวันที่และเดือนได้ไม่แน่นอน สถานที่นั้นเป็นเพียงร้านกาแฟในหุบเขาและใครบางคนที่รู้จักทั้งผมและเธอคือผู้แจ้งข่าวนั้น

ผมไปที่ร้านกาแฟแห่งนั้นเพื่อดื่มกาแฟ แต่ใครบางคนคนนั้นไปที่นั่นเพื่อถ่ายรูป เธอมาพร้อมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และในจังหวะที่เพื่อนของเธอกำลังมองหามุมที่หลงเหลือภายในร้านเพื่อเก็บภาพ เธอก็หันมาเห็นผมเข้าพอดี

เสียงเรียกชื่อทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ถืออยู่ในมือ นวนิยายขนาดยาวของนักเขียนชาวตุรกีที่หมกมุ่นกับความทรงจำจนคิดจะรวบรวมความทรงจำเหล่านั้นเป็นพิพิธภัณฑ์

ผมสอดที่คั่นหนังสือไว้ในหน้าที่บรรยายว่าด้วยงานแต่งงานของเขาก่อนจะปิดหนังสือในมือลง

และยิ้มทักทายใครบางคนคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ

 

“ปิ่นหย่าแล้วนะ”

ใครบางคนคนนั้นเอ่ยขึ้นโดยแทบไม่มีเรื่องราวอื่นเกริ่นนำ

ผมจัดวางท่าทีเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม เธอหันไปบอกกับเพื่อนที่ยังถ่ายรูปไม่เสร็จว่ากลับที่พักได้ก่อนเลย เธอมีเรื่องสำคัญต้องทำและเรื่องสำคัญที่ว่านั้นไม่แน่นอนว่าจะกินเวลามากเพียงใด

เพื่อนของเธอแสดงท่าทีงุนงงเล็กน้อยและยืนกรานที่จะรอแต่เมื่อเธอเองก็ยืนกรานว่าเธอไม่ต้องการให้ใครรอ ทุกคนก็จากไปในเวลาต่อมา

“เราไม่ชอบให้ใครรอ เพราะเรารอใครบางคนและอะไรบางอย่างมาก่อน เราล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่ว่านั้นดี” แทนการต่อปากต่อคำกับเธอ ผมลุกขึ้นไปสั่งกาแฟร้อนแบบสามัญธรรมดาให้เธอหนึ่งแก้ว

เชียงใหม่ในหน้าร้อนมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ยิ่งร้านกาแฟที่อยู่ในหุบเขาด้วยแล้วแทบจะปราศจากผู้คน

ใบไม้ที่แห้งผากหล่นร่วงมาจากกิ่งและลำต้น มันปลิวปรายไปตามพื้นร้าน เวลามีใครเหยียบมันก็ส่งเสียงกรอบแกรบ ผมนึกถึงภาพยนตร์รักในยุคหนึ่งที่นิยมใช้เชียงใหม่เป็นฉากพร้อมด้วยบทเพลงเศร้าสร้อย ใบไม้ปลิดปลิว ความรักที่หลุดลอย เรื่องราวที่ไม่สมหวังและวันคืนอันโดดเดี่ยวของตัวเอกในกระท่อมกลางหุบเขา เรื่องราวแบบนั้นเอง

“ขอบคุณ” เธอเอ่ยขณะรับกาแฟจากมือของผม หกปีหลังการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา เธอยังคงสงวนถ้อยคำเหมือนเดิม

 

“ปิ่นหย่าแล้วนะ” เธอกล่าวซ้ำอีกทีในข้อความนั้น ผมพยักหน้ารับแสดงท่าทีว่าเข้าใจ “เมื่อไหร่?” ผมเอ่ยถาม

“หนึ่งเดือนก่อน ข่าวใหญ่ในหมู่เรา แต่เธอคงไม่รู้”

“ไม่” ผมตอบ “เราไม่ได้อยู่ในพื้นที่หรือกลุ่มคนที่จะรู้เรื่องที่ว่านี้ได้เลย”

“นั่นล่ะ ฉันถึงได้บอกเธอนับแต่แรก ขอโทษด้วยนะที่บอกข่าวเศร้าให้แก่เธอทั้งที่เพิ่งได้เจอกัน”

ผมส่ายศีรษะปฏิเสธ ผมอยากบอกเธอว่าสำหรับผมแล้วไม่มีข่าวคราวใดชวนเศร้าไปกว่าข่าวคราวที่ว่าปิ่นกำลังจะแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน ข่าวคราวนั้นเป็นที่สุดแห่งเนื้อสารอันปวดร้าว ผมถอนหายใจ “ไม่เศร้าหรอก คนเราก็เลิกรากันอยู่เสมอนั่นล่ะ ใช่ไหม”

แทนการตอบคำตอบ เธอคนนั้นยกกาแฟขึ้นดื่ม เหม่อสายตาไปรอบๆ ใบไม้ที่แห้งกรอบยังคงร่วงหล่นจากต้นไม่หยุด มีทั้งใบตองตึง ใบหูกวางและใบก้ามปู ร้านกาแฟร้านนี้น่าจะเลือกที่ตั้งในป่าเพื่อชื่นชมการแปรเปลี่ยนของฤดูกาล ผมนึกในใจ

“เธอย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่กี่ปีแล้ว?” เธอคนนั้นวางแก้วกาแฟในมือลง

“หกปี” ผมตอบ

“ช่วงเวลาเดียวกับที่ปิ่นแต่งงานสินะ” เธอเน้นเสียงตรงคำว่าปิ่น ผมเฉไฉทำตัวเสมือนไม่ได้ยินเช่นนั้น

“น่าจะราวๆ ช่วงนั้น จำเวลาไม่ได้แน่นอนหรอก มันวุ่นอยู่นะช่วงนั้น ทั้งย้ายของ หาบ้านเช่า ไปจนถึงหางาน การทำอะไรพร้อมกันแบบนั้นเล่นเอาจำอะไรได้ยากทีเดียว” ผมอธิบาย

“จนแม้แต่จำวันที่เรานัดจะไปเลี้ยงส่งเธอก็ยังจำไม่ได้ แต่ช่างเถอะ” มีน้ำเสียงน้อยใจตรงท้ายประโยค

แต่เป็นอีกครั้งที่ผมแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น

 

วันนั้นน่าจะเป็นช่วงปลายปี เพื่อนผู้รับหน้าที่หาบ้านเช่าแจ้งมาว่าได้บ้านเรียบร้อยแล้วเขาจึงเร่งสำทับว่าให้รีบมา อากาศกำลังดี หมอกลงตอนเช้า ฝนจากไปแล้ว ไม่ต้องกลัวเปียกชื้น ไม่ต้องกลัวความเจิ่งนองของน้ำในที่ต่างๆ ดินไม่เละเทะ โคลนไม่มี เหมาะแก่การเดินป่า เหมาะแก่การท่องขุนเขา

“ใครก็รู้ว่าหน้าหนาวคือหน้าที่สวยที่สุดของภาคเหนือ เหมือนใบหน้าเจ้าสาวในวันแต่งงานอย่างใดเล่า” เพื่อนคนนั้นย้ำจริงจังตอนท้ายทำให้ผมไม่มีทางเลือกนอกจากการหยิบจับทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นใส่กล่อง ใส่ลัง ใส่กระเป๋าเพื่อขึ้นมาให้ทันความงามที่ว่า

ผมมาทันได้เห็นความงามดังกล่าวแต่ผมเองก็ลืมงานอำลาเมืองหลวงที่เธอคนนี้ คนที่นั่งตรงข้ามผมเป็นแม่งานอาสาจัดการให้

“ขอโทษด้วยนะ เราลืมจริงๆ”

“เธอขอโทษไปแล้วนี่ตั้งแต่ตอนนั้น” เธอเอ่ย “เรื่องมันนานแล้ว ขอโทษครั้งเดียวน่าจะพอ ว่าแต่มาอยู่เชียงใหม่ทำอะไรเป็นขึ้นบ้างนอกจากเขียนหนังสือ ซึ่งก็ทำเป็นมาแต่ก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เธอคนนั้นถามเหมือนหลงลืมความขัดเคืองในอดีตไปแล้ว

“ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นกับปลูกต้นไม้เป็น” ผมตอบ “ก่อนหน้านั้นทำไม่เป็นทั้งสองอย่าง ตอนนี้ขี่รถเครื่องสบาย ไปตามเขา ตามดอย จากที่นี่ไกลขึ้นเหนือสุดก็ขี่ไปเชียงดาว ทางตะวันตกไปถึงปาย ทางใต้ไปถึงจอมทอง ฮอด แม่สะเรียง แถวนั้น”

“โห” เธอคนนั้นอุทาน “ไม่น่าเชื่อ เธอฝึกเองหรือ?”

“ฝึกเอง ถามคนนั้น คนนี้บ้าง ขึ้นเขาเปลี่ยนเกียร์อย่างไร ใช้เครื่องขนาดไหนดีสำหรับการเดินทาง จากคันแรกที่เป็นเครื่อง 75 CC ตอนนี้ก็มาถึงเครื่อง 125 CC แล้ว”

“คันที่จอดหน้าร้านใช่ไหม สีเขียวขี้ม้านั่น”

“ใช่ ทำไมรู้ล่ะ?”

“ก็เธอชอบสีเขียวขี้ม้า ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น ตอนเธอเป็นแฟนกับปิ่น เธอซื้อกระเป๋าถือสีเขียวขี้ม้าให้เขา พวกเพื่อนปิ่นหัวเราะกันจะตาย เห็นเขาจะไปฝึกทหารหรือไงถึงซื้อกระเป๋าสีนั้นให้นะ ผู้หญิงเขาต้องสีส้ม สีแดง สีชมพู ให้มันอ่อนหวานหรือไม่ก็สะดุดตา ไม่ใช่จะมาพรางตัว เขาถือเดินในเมืองนะไม่ใช่ในป่า”

“แต่เธอก็ใช้กระเป๋าถือสีเขียวขี้ม้านะ” ผมเอ่ย พลางชี้นิ้วไปที่กระเป๋าสะพายขนาดเล็กที่ดูชัดว่าทำจากหนังแท้สีเขียวขี้ม้าขึ้นลายเป็นเงามัน

“ใช่ ก็เราชอบสีนี้”

ผมพยักหน้า “แต่จำได้ว่าสมัยเรียนเธอชอบสีฟ้า ปิ่นนั่นชอบสีชมพู เวลาเดินคู่กันใครนะที่ล้อว่าพวกเธอน่าจะจบจากโรงเรียนผู้ชายมาแน่ๆ”

“จอม จอมไง คนนั้นเขาจบโรงเรียนนั้นเลยล้อเรากับปิ่น ต้นไม้ล่ะ ปลูกอะไรไว้บ้าง ไม่น่ายากนะต้นไม้นี่”

“ยากสิ ทำไมคนชอบคิดว่าต้นไม้ปลูกไม่ยาก ปลูกพอให้รอดคงไม่ยากหรอกแบบฝากเทวดาเลี้ยงนั่น แต่ถ้าจะให้งามมีดอก มีผลมันต้องดูแลนะ ปล่อยปละละเลยที่ไหนจะเติบโต”

“เหมือนความรักสินะ”

“ใช่เหมือนความรักนั่นแหละ” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ปิ่นเขาหย่าเพราะอะไร เธอรู้ไหม?”

“สามีเขาไปมีภรรยาน้อย เรื่องราวเก่าแก่ของสังคมไทยที่ดูไม่น่าเกิดกับปิ่นนะ แต่ก็นั่นแหละใครจะรู้อนาคต ตอนแต่งงานกันรักกันราวจะกลืน”

“ใช่ แต่คนเราก็เลิกรากันอยู่เสมอมิใช่หรือ” ผมเอ่ยคำนั้นซ้ำ ใบไม้ใบหนึ่งที่หล่นปลิวจากท้องฟ้าเบื้องบนตกลงบนเรือนผมยาวสลวยของเธอ •