ภาพถ่ายกับมุมมองที่เห็นจากการฟังเสียงหัวใจของตัวเอง / เอกภาพ : พิชัย แก้ววิชิต

พิชัย แก้ววิชิต

เอกภาพ

พิชัย แก้ววิชิต

 

ภาพถ่ายกับมุมมอง

ที่เห็นจากการฟังเสียงหัวใจของตัวเอง

 

บางครั้งมันก็ไม่ง่ายที่จะตอบคำถามว่าสิ่งที่อยู่ในภาพมีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

อะไรที่เป็นสิ่งเร้าให้ผมหยิบกล้องขี้นมาแล้วกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายบันทึก

คำตอบที่ดูจะไม่ง่ายนักกับคำบรรยาย เพราะคำบรรยายมันมีขอบเขตของภาษาที่ไปไม่ถึงกับสิ่งที่ผมเห็นได้จากความรู้สึก

ผมไม่ได้ถ่ายภาพเพียงบันทึกสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า

สำหรับผม ขอบหน้าต่างไม่ใช่ขอบของหน้าต่างที่หลายคนรู้จัก

แต่เป็นขอบเขตของอะไรบางอย่างที่ความรู้สึกจะเป็นตัวชี้วัดว่าชอบหรือไม่ชอบ และเห็นอะไรที่สัมผัสได้

มันคือรักแรกพบที่ไม่ต้องการเหตุผล เพราะเหตุผลไม่มีอยู่จริง และ ณ ขณะที่เวลาได้หายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเจอสิ่งที่ต้องตาต้องใจอยู่ตรงหน้า

มันเป็นการเปรียบเทียบเปรียบเปรย ที่อาจทำให้ผมตกอยู่ในอันตราย ถ้าภรรยาที่บ้านมาอ่านเจอและใช้จินตนาการไปอีกมุมมอง และอาจเข้าใจความจริงผิดพลาดไป

แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงเพื่อทุกคน เพราะผมกำลังจะบอกว่ามุมมองที่ผมเห็นขณะที่ได้กดชัตเตอร์มันก็คล้ายๆ กันกับรักแรกของผม

มันเป็นความสุขเมื่อแรกเห็น ได้สัมผัส

และได้บันทึกไว้ในความทรงจำ

 

เป็นภาพถ่ายที่ถ่ายย้อนแสงไปทิศทางของกระจกบานใหญ่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีคนกำลังนั่งรับประทานอาหารและคุยกันอย่างออกรสชาติ เปียโนอยู่ตรงกลางระหว่างโต๊ะของผมกับโต๊ะที่อยู่ริมกระจกบานใหญ่ ความรู้สึกของผมเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นก็กดชัตเตอร์

หลายคนลังเลและพยายามใช้ความคิดคำนวนความงามออกมาเป็นระบบในแบบคณิตศาสตร์

ในการมองหามุมมองในการถ่ายภาพ ถ้าหากจะหาวิธีถ่ายภาพที่สวยเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่สะดวกอยู่ไม่น้อย เพราะมันจะมีวิธีวางอยู่ในกรอบพร้อมคำบรรยายที่ให้ไว้เป็นของแถม

แต่ผมกำลังพูดถึงภาพถ่ายที่มีความงาม การถ่ายภาพที่มาจากความรู้สึกอันเป็นอิสระ การถ่ายภาพที่สะท้อนให้ได้เห็นตัวเองในภาพถ่ายนั่น

เมื่อเห็นตัวเองชัดขึ้นก็จะรู้จักตัวเองได้ในที่สุด

ผมมักจะบอกตัวเองเสมอกับการถ่ายภาพว่า การถ่ายภาพไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ค่อยๆ เรียนรู้

เพราะเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะก่อให้เกิดคำถาม และก็จะสนุกทุกครั้งที่ต้องหาคำตอบ

มันเหมือนกับเด็กที่วิ่งไล่จับกันบนสนามหญ้า วิ่งไปล้มไป เมื่อล้มก็ลุกขึ้นไปวิ่งเล่นใหม่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

การที่ผมไม่รู้อะไรมากมายของกฎการถ่ายภาพ ทำให้ผมได้ตระหนักถึงเรื่องของความเชื่อและความสำคัญของจินตนาการที่มาจากความเป็นมนุษย์

ไม่น้อยคนกลัวภาพจะไม่สวยตามมาตรฐานโรงงาน

บางครั้งผมเองก็เกิดคำถามลึกๆ ขึ้นในใจ สรุปว่าอะไรที่เป็นสิ่งผลิตที่มาจากโรงงาน กล้องถ่ายภาพ หรือความเป็นมนุษย์

 

ความพอดีที่ไม่เคยดีพอ สำหรับผมในการถ่ายภาพ

ภาพจะมืดไปบ้าง สว่างไปบ้าง ก็เป็นเรื่องของการออกแบบในใจ

ความพอดีของค่าแสงที่กล้องบอกอาจใช้อ้างอิงได้ในการถ่ายภาพ

แต่ผมคงไม่ทำตามถ้าขัดมันต่อจินตนาการของผม

ผมไม่คิดที่จะปฏิเสธการเกิดประโยชน์ของความรู้พื้นฐานในการถ่ายภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้คำตอบเมื่อมีคำถาม

ความรู้พื้นฐานจะเป็นป้ายบอกให้เราได้ไปต่อ

แต่ไม่ควรทำให้หลงทางหรือกักขังนักถ่ายภาพที่ต้องออกสำรวจโลกภายนอกและโลกแห่งภายในของตัวเอง

ความเชื่อมโยงกันระหว่างคนถ่ายภาพกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สำหรับผมไม่เคยพยายามที่จะเห็นความงาม มันไม่มีวิธีที่เฉพาะตายตัว มันเป็นเรื่องของการแนะนำมากกว่าการที่จะชี้นำถ้าต้องมีใครสงสัยใคร่รู้

ผมมักจะบอกให้โฟกัสไปที่ตัวผู้ถ่ายภาพเองว่าเห็นอะไรที่อยู่ในใจ

อยากถ่ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากน้อยแค่ไหน

บางทีเลนส์คมๆ ก็ไม่อาจชัดได้ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยากถ่ายอะไร

ในทางตรงกันข้าม คนที่ตั้งใจถ่ายภาพให้ออกมาเบลอๆ มันก็จะคมชัดในตัวเองไปในทันที

ในท้ายที่สุดไม่มีอะไรต้องเชื่อกันกับการถ่ายภาพในแบบที่ผมเป็นอยู่ เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบ และสุดท้ายสำคัญที่ลงมือทำ เมื่อทำได้แล้วไม่ต้องเชื่อผม ให้เชื่อตัวเองและขอบคุณตัวเองและเคารพตัวเองให้ได้ก็พอ

ขอบคุณมากมายครับ •