ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
เมื่อปูตินโยน ‘ไพ่นิวเคลียร์’
โลกก็ร้อนผ่าวขึ้นทันที
พอวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียโยน “ไพ่นิวเคลียร์” ลงบนโต๊ะท่ามกลางความตึงเครียดของสถานการณ์สงครามในยูเครน…
ผู้คนในยุคผมก็ต้องย้อนคิดถึง “วิกฤตขีปนาวุธคิวบา” ระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตเมื่อ 1962
ปีนี้ครบ 60 ปีที่โลกเกือบจะเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์ทำลายล้างโลกกันเลยทีเดียว
ตอนนั้น ผู้นำสหรัฐคือประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และฝ่ายสหภาพโซเวียตคือนิกิต้า ครุสชอฟ
วันนี้คู่กรณีหลักคือ โจ ไบเดน กับปูติน
ตอนนั้น ตัวกลางคือคิวบาที่มีผู้นำคือฟิเดล คาสโตร ที่มีบุคลิกที่เต็มไปด้วยสีสันและความร้อนรุ่มในอุดมการณ์ทางการเมืองที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์
วันนี้คนที่มายืนอยู่ตรงกลางของความขัดแย้งคือโวโดดิเมียร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดียูเครนซึ่งก็มีบุคลิกที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยไปกว่าคาสโตรเช่นกัน
คราว “วิกฤตคิวบา” นั้นหลังจากเผชิญหน้ากัน 13 วันครุสชอฟกับเคนเนดี้ถอยกันคนละก้าว
สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธจากคิวบา
สหรัฐยกเลิกโครงการขีปนาวุธในตุรกี
ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันที่เรียกว่า eyeball to eyeball
จนต้องนัดกันกะพริบตา หรือ blink เพื่อไม่ให้โลกต้องดิ่งลงสู่นรกแห่งหายนะหากทั้งสองมหาอำนาจกดกุ่มนิวเคลียร์ใส่กัน
วันนี้ปูตินกับไบเดนจะสามารถเรียนรู้จากวิกฤตคิวบาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สามหรือไม่
นี่คือบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดในวันนี้
ไม่ว่าปูตินจะโยนไพ่นิวเคลียร์เพราะความสิ้นหวังทางการเมืองหรือความอหังการทางทหาร การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีอาวุธร้ายแรงระดับสูงสุดในครอบครองเอ่ยเอื้อนถึงการ “สั่งให้เตรียมพร้อม” ในการใช้อาวุธประเภทนี้ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกทันที
ประโยคที่ทำให้ขนลุกได้จากผู้นำรัสเซียที่ฟังดูเป็นได้ทั้งคำขู่, ถ้อยคุกคามหรือคำเตือนอยู่ตรงที่ปูตินคำรามว่า
“ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเราควรรู้ว่าการตอบสนองของรัสเซียจะเกิดขึ้นทันทีและจะนำคุณไปสู่ผลที่ตามมาอย่างที่คุณไม่เคยประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์ของคุณ”
และสำทับว่าวันนี้รัสเซียคือ “หนึ่งในรัฐนิวเคลียร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก”
และในวันต่อมา (วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์) ก็เรียกประชุมที่มีลักษณะแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อนกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่ดำรงตำแหน่งมายาวนาน Sergey Shoygu
และนายพล Valery Gerasimov นักยุทธศาสตร์การทหารในตำนาน…พร้อมเหล่าเสนาธิการทหารและที่ปรึกษาระดับสูง
ไม่ใช่การประชุมสภาความมั่นคงของรัสเซียปกติ
เพราะหากเป็นปกติย่อมจะต้องเป็นเรื่องลับที่ไม่มีการออกข่าว…หรือออกข่าวก็เฉพาะประเด็นที่ต้องการสื่อกับสาธารณะเท่านั้น
แต่วันนั้น ปูตินสั่งให้อัดเทปการประชุมที่ผู้นำระดับสูงของรัฐบาลรัสเซียแสดงความเห็นไปในทางเดียวกันหมด…คือรัสเซียต้องทำอะไรบางอย่างต่อสถานการณ์ตรงชายแดนกันยูเครนแล้ว
ปูตินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะยาวขณะที่เหล่าผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ รวมตัวกันที่อีกมุมหนึ่งของหอประชุมใหญ่…ให้แต่ละคนมาพูดที่โพเดียม ไม่ใช่รูปแบบการประชุมหัวข้อ “ลับสุดยอด” เป็นแน่แท้
หลังการประชุม ปูตินสั่ง “กองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์” (Nuclear Deterrent Force) ให้อยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติการ
นั่นคือการสั่งให้ยกระดับความพร้อมของการใช้อาวุธที่อันตรายที่สุดในโลกอย่างฉับพลัน
เจตนาของปูตินจะเป็นการเตรียมปฏิบัติการจริงหรือเป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนโลกตะวันตกเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถจะยืนยันได้
แต่ที่แน่ๆ คือปูตินทำให้ทั้งโลกต้องหันมาประเมิน “ระดับความเสี่ยง” ของโลกทั้งใบที่จะเข้าสู่โหมดของการ “ล้างผลาญ” กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์
ถามว่า โจ ไบเดน ตอบโต้ด้วยการสั่งคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐตอบสนองด้วย “การเตรียมความพร้อม” ในระดับเดียวกันหรือไม่
เมื่อหมีขาวคำราม อินทรียักษ์จะต้องขยับปีกตามหรือไม่
วอชิงตันตอบสนองด้วยท่าทีลีลาที่เยือกเย็นในฟอร์ม แต่ก็ร้อนแรงภายใน
เพราะเรื่องอย่างนี้พูดกันเล่นๆ ไม่ได้
ไม่มีใครสามารถจะชักปืนออกมาขู่อีกคนหนึ่งแล้วบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องมองหาปืนของตนมา “เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน” ได้อยู่แล้ว
เมื่อถูกถามว่าชาวอเมริกันควรกังวลเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์หรือไม่ ไบเดนตอบว่า : “ไม่”
ไบเดนอ้างว่า สหรัฐไม่ได้เปลี่ยนท่าทีว่าด้วยระดับความเตรียมพร้อมของกองกำลังนิวเคลียร์ของตน
และยืนยันว่าการแจ้งเตือนของสหรัฐอเมริกายังไม่ได้รับการยกระดับ
“เรามีความสามารถในการปกป้องตัวเอง” เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวบอกนักข่าวในวันต่อมา
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอนย้ำว่าวอชิงตันยังคง “สบายใจและมั่นใจในการป้องกันเชิงกลยุทธ์ของเรา”
ที่ลอนดอน เบน วอลเลซ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอังกฤษบอกว่าภาษาทำนองก้าวร้าวและคุกคามของปูตินเป็นสิ่งที่ทำให้ “ไขว้เขว”
และเป็นการออกแบบมาเพื่อให้ตะวันตกหวาดกลัวเท่านั้น
นักวิเคราะห์บางสำนักบอกว่าเป็นไปได้สูงที่ปูตินจะโยนระเบิดกลางวงเช่นนี้ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโลกและ “เร่งอัตราการเต้นของหัวใจ” ของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
นักวิเคราะห์อีกบางคนก็บอกว่าการออกตัวแรงอย่างนี้เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นการสะท้อนถึงความอ่อนแอมากกว่าความแข็งแกร่ง
อดีตนักการทูตสหรัฐประจำรัสเซียคนหนึ่งเสนอแนวคิดของฝ่ายตะวันตกว่า
“ปูตินต้องออกมาแสดงความขึงขังเพราะสถานการณ์สงครามในยูเครนผิดจากแผนที่เขาเอาไว้ไม่น้อย…”
แต่นั่นแหละ จะบอกว่าเสียงขึงขันของปูตินจะไม่ได้ผลอะไรเลยต่อความรู้สึกของคนทั่วโลกก็ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว
เพราะพอปูตินลั่นเรื่องนิวเคลียร์ คนทั้งโลกที่เคยคิดว่าภัยคุกคามจากปรมาณูนั้นเป็นเรื่องที่หมดยุคหมดสมัยก็ต้องหันมาคิดใหม่
ฝันร้ายกลับมาเยือนอีกครั้งสำหรับคนที่ติดตามข่าวสารย้อนกลับไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
เพราะระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกในปี 1945 ถูกสหรัฐทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น
อันเป็นผลทำให้สงครามยุติลงได้
หลังจากนั้นทั้งโลกก็เชื่อว่าข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ที่มีนิวเคลียร์ในครอบครองนั้นจะเป็นการหยุดยั้งความพยายามที่จะใช้อาวุธทำลายล้างสูงเหล่านี้มาจัดการกับข้อพิพาทระดับโลกอีก
ทุกวันนี้ มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่บนโลกประมาณ 13,000 ชุดในคลังแสงของ 9 ประเทศ
แม้ว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของโลกจะลดลงประมาณ 80% ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง แต่วันนี้ระบบของโลกในการจำกัดคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่และป้องกันการแพร่กระจายก็ยังอยู่ในสภาพที่ผู้เชี่ยวชาญวงในบางคนเรียกมันว่า “สับสนวุ่นวาย”
วันนี้ภัยคุกคามของการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่ยังมิได้ลดน้อยถอยหลังแต่อย่างใด
กระทรวงกลาโหมสหรัฐเคยประมาณการว่าจีนอาจสามารถครอบครองหัวรบนิเคลียร์ได้ถึง 1,000 ลูกภายในปี 2573
ในขณะที่อินเดียและปากีสถานก็ยังเดินหน้าพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองอย่างแข็งขัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงเกาหลีเหนือที่คอยเตือนทั้งโลกตลอดเวลาว่าเขายังถือว่าการพัฒนานิวเคลียร์เป็นนโยบายสำคัญระดับต้นๆ ของประเทศ
และประมาณ 90% ของอาวุธนิวเคลียร์ของโลกยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียและสหรัฐ (โดยที่หมีขาวมีมากกว่าอินทรียักษ์ประมาณหนึ่งด้วยซ้ำ – 5,977 ต่อ 5,428 และจีนมี 350)
เมื่อมีการเอ่ยเอื้อนถึง “คำต้องห้าม” นี้ท่ามกลางความตึงเครียดระดับโลก โลกทั้งโลกก็ต้องประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแน่นอน