เครื่องเสียงรถยนต์ใน Luxury Car (2) / เครื่องเสียง : พิพัฒน์ คคะนาท

เครื่องเสียง

พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]

 

เครื่องเสียงรถยนต์

ใน Luxury Car (2)

 

ช่วงสองสามปีให้หลังมานี่, บรรดารถหรูจำพวก Luxury Car ได้หันมาจับมือกับค่ายเครื่องเสียง Hi-End เพื่อนำเสนอและติดตั้งอุปกรณ์ระบบที่ให้สาระและความบันเทิงจำพวก Infotainment System ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังที่ได้บอกเที่ยวก่อนนั่นแหละครับ ว่ามีทั้ง Bentley, Porsche และ Jaguar ซึ่งเท่าที่รวบรวมมาได้พบว่ามีมากกว่านั้นอีก

และส่วนใหญ่พบว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV : Electric Vehicle แบบ 100%

และว่ากันว่า การฟังเพลงในรถยนต์ไฟฟ้าจะได้อรรถรสและความสุนทรีย์มากกว่าการฟังเสียงเพลง เสียงดนตรี ในรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากน้ำมัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เนื่องเพราะในห้องโดยสารรถไฟฟ้านั้นจะไม่มีเสียงรบกวน หรือ Noise อันเนื่องมาจากการทำงานของเครื่องยนต์นั่นเอง

 

มาเริ่มกันที่ค่ายรถ Jaguar กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย คือ I-Pace

เลือกจับมือกับค่ายเครื่องเสียงในถิ่นบริติชด้วยกัน คือ Meridian-Audio ด้วยการติดตั้งชุด Meridian Surround Sound System ซึ่งปกติแล้วมีราคาสูงกว่าชุด Meridian Sound System ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์ระบบเสียงมาตรฐานในรถรุ่น S-Type และ SE-Type โดยสิ่งที่ได้เพิ่มก็คือกำลังขับรวมจาก 380W เป็น 825W และลำโพงเพิ่มจ่าก 11 ตัว เป็น 15 ตัว

โดยลำโพงที่เพิ่มเข้ามาเป็นชุดลำโพงเซอร์ราวด์ด้านหลัง และลำโพงเซ็นเตอร์แบบโคแอ็กเชียล นอกจากนี้ ยังเพิ่มสับ-วูฟเฟอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะซึ่งเรียกว่า Air-Fresh อันทรงพลังเข้ามาในระบบด้วย โดยให้การทำงานตั้งแต่ย่านความถี่ที่ต่ำกว่า 60Hz ลงไป เป็นสับ-วูฟเฟอร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเปี่ยมประสิทธิภาพยิ่งนัก

ทั้งซิสเต็มร่วมกันรังสรรค์คุณภาพเสียงด้วยเทคโนโลยี Trifield Audio ที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะ ให้สัมผัสอรรถรสของเสียงได้อย่างสมจริง อุดมไปด้วยรายละเอียด มีสมดุลเสียงอันยอดเยี่ยมจากการทำงานที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีของลำโพงแต่ละตัว ทั้งยังให้โทนเสียงที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก

นอกจาก Jaguar แล้ว ระบบเสียงของ Meridian Audio ยังถูกเลือกใช้โดยค่ายรถชั้นนำอย่าง Land Rover, KIA, HiPhi (แบรนด์ของค่าย Human Horizon ที่เน้นพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ รถรุ่นแรกของค่ายนี้คือ HiPhi X เปิดตัวไปเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว) และ Rivian Automotive อีกค่ายผลิตรถพลังงานไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน

 

จากค่ายรถในสหราชอาณาจักร ไปดูค่ายเพื่อนบ้านทางแถบนั้นที่เน้นการทำ Super Car ออกมาเป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์กันดูบ้าง นั่นก็คือ Porsche จากเยอรมนีครับ และแน่นอนว่าเมื่อคิดจะเลือกค่ายเครื่องเสียงมาเป็นพันธมิตรเพื่อวางระบบเสียงให้กับรถของตนแล้วละก็ ย่อมต้องเลือกจากค่ายในถิ่นเดียวกัน เพราะในเยอรมนีนั้นค่ายเครื่องเสียงระดับแถวหน้าของโลกในกลุ่ม Hi-End และ Super Hi-End ก็ไม่น้อยหน้าใครแถบไหนอยู่แล้ว

สุดท้ายหวยมาออกที่แบรนด์ Burmester ซึ่งกับเครื่องเสียงค่ายนี้ จำได้ว่าแรกเห็นเข้ามาในบ้านเราใหม่ๆ ที่บ้านของ ‘เสี่ยเปา’ เจ้าของห้าง Excel Hi-Fi เมื่อสักสี่สิบปีที่แล้วนั้น ให้อุทาน – ว้าว, อยู่ในใจ เพราะความสวยชนิดที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในยุทธจักรนี้

ทั้งยังทึ่งกับงานออกแบบโดยเฉพาะปรีแอมป์ ที่มีโครงสร้างในลักษณะ Module Construction คือที่แผงหลังมีช่องเสียบโมดูลเฉพาะของภาคการทำงานต่างๆ เพื่อว่าต้องการเล่นอะไรก็ให้ซื้อเฉพาะโมดูลนั้นๆ มาใช้ เช่น อยากจะใช้ฟังแผ่นไวนีลอย่างเดียว ก็ซื้อเฉพาะ Phono Module มาใช้ ไม่ต้องเสียเงินให้กับภาคการทำงานอื่นๆ ด้วย

ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำมากในยุคนั้น และเพิ่งมาเห็นอีกครั้งก็เป็นเครื่องจากค่าย NAD ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง

ชุดเครื่องเสียง Burmester Hi-End Surround Sound System ที่ใช้ติดตั้งใน Porsche 911 ประกอบไปด้วยชุดลำโพงคุณภาพสูงจำนวน 13 ตัว ซึ่งโดดเด่นด้วยทวีตเตอร์ AMT : Air Motion Transformers ที่ผู้ออกแบบและผลิตอ้างว่าให้ความเที่ยงตรงที่แม่นยำสูงมาก มาพร้อมระบบ Sound Conditioner ที่ใช้เทคโนโลยี Noise Compensation ลำโพงทั้งหมดถูกขับด้วยพลังเสียงโดยรวม 855W สามารถเลือกโหมดรับฟังเสียงได้ 5 รูปแบบ ที่แตกต่างกัน ประกอบไปด้วย Pure, Smooth, Live, Surround และ Surround Enhance ที่ต่างมีคุณสมบัติในการให้คุณลักษณะเสียงออกมาได้อย่างเหมาะควรตามแต่ละรูปแบบที่เลือก

อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้รถไม่ได้สนใจหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้สักเท่าไรนัก Porsche 911 ก็มีระบบเสียงมาตรฐานของ Bose ติดตั้งให้ ซึ่งประกอบไปด้วยลำโพง 12 ตัว กับพลังขับรวม 570W โดยผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่าเป็นชุดที่คุ้มกับราคาที่จ่าย แต่ไม่สามารถเทียบคุณภาพเสียงกับซิสเต็มของ Burmester ได้เลย ไม่ว่าจะในแง่ของรายละเอียด เวทีเสียง รวมทั้งไดนามิก และเบสที่กระชับแน่น ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การฟังเสียงเพลง เสียงดนตรี มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าย่อมให้ความสุนทรีย์ในการฟังเพิ่มมากขึ้นไปอีก

แต่สุดท้ายแล้วมันมีตัวแปรสำคัญที่ลดทอนความสุนทรีย์ทั้งมวลนั้นอย่างน่าเสียดาย นั่นก็คือภายในห้องโดยไม่สามารถกักกั้นเสียงรบกวนจากภายนอกได้เท่าที่ควรนั่นเอง

 

ค่ายรถเยอรมันอีกรายที่ติดตั้งระบบเสียงของ Burmester คือ Mercedes-Benz โดยติดตั้งชุด Hi-End 3D Surround Sound System ในรถตระกูล S-Class

มาที่ค่ายรถหรูของสหราชอาณาจักรอีกรายอย่าง Bentley ไปดูกันว่าติดตั้งระบบเสียงของใครให้กับรถรุ่น Flying Spur ที่ราคาขายในบ้านเราคันละกว่ายี่สิบล้าน (บาท) และพบว่าเป็นค่ายเครื่องเสียงระดับ Hi-End แถวหน้าๆ ของวงการ ที่อยู่แถบใกล้ๆ กันนั่นแหละครับ คือ Naim Audio

และในรถรุ่นที่ว่านั้นระบบเสียงที่ Naim ใส่ให้ประกอบไปด้วยชุดลำโพง 21 ตัว กับพลังขับโดยรวม 2,200W พร้อมระบบควบคุมการทำงานและปรับแต่งที่สมบูรณ์ในทุกตำแหน่ง เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่เหมาะสมที่สุด ผ่านการทำงานในส่วนที่เป็นหัวใจของระบบ คือชุดตัวขับเสียงที่เรียกว่า BMR : Balanced Mode Radiator ซึ่งมีอยู่ในระบบ 9 ชุดด้วยกัน ที่ช่วยให้สามารถถ่ายทอดความเป็นเลิศของเสียงออกมาได้อย่างไร้ที่ติโดยสิ้นเชิง

โดยภาพรวมของเสียงที่ให้ออกมานั้นกระฉับกระเฉง ว่องไว ปราดเปรียว ให้การตอบสนองต่อสัญญาณฉับพลันได้อย่างยอดเยี่บยม ขณะเดียวกันก็เป็นน้ำเสียงที่ประณีต ละอียดอ่อน พรั่งพร้อมไปด้วยรายละเอียดของแต่ละเส้นเสียงอย่างชัดเจน น่าฟังยิ่ง ขณะที่ให้เบสออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ เปี่ยมไปด้วยพลัง ทั้งยังมีคุณสมบัติที่เอื้อต่อการใช้งานมากมายยิ่งนัก สมกับเป็นชุดระบบเสียงระดับ Premium อย่างแท้จริง

สำหรับรถรุ่น Continental GT ซึ่งมีราคาย่อมลงมา (บ้านเราขายอยู่คันละใกล้ๆ ยี่สิบล้าน) นั้น มาด้วยชุดระบบเสียงมาตรฐานที่ Naim ออกแบบมาเพื่อติดตั้งใน Bentley โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบไปด้วยลำโพง 10 ตัว แอมปลิไฟเออร์แบบ 11 แชนเนล ให้กำลังขับรวม 650W

ยังไม่หมดครับ ขอต่อเที่ยวหน้าอีกสักตอนกับระบบเสียงในรถหรูอีกสามสี่คัน