สนามรบในเมือง : มนัส สัตยารักษ์

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560 พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธาน ได้เรียกประชุมคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจเต็มคณะ 35 คน พร้อมด้วยอนุกรรมการ 5 ด้าน สรุปผลการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาว่า คืบหน้าไปถึงร้อยละ 80 จากกรอบการทำงานทั้งหมด และคงจะสรุปผลได้ในวันจันทร์ถัดไป ก่อนจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

ดูเหมือนว่าจะเป็นการแค่ย่ำอยู่กับที่ หรือแค่ “วิวัฒนาการ” มากกว่าการ “ปฏิรูป” เพราะในแต่ละด้านของ 5 ด้านที่ว่านั้น แทบจะกล่าวได้ว่าไม่ค่อยมีอะไรเคลื่อนไหวเลย

ยกตัวอย่างเช่น การโอนงานบางงานให้องค์กรอื่นหรือหน่วยงานอื่นรับไป (เพื่อ ตร. จะได้เล็กลง) นั้น จะโอนก็ต่อเมื่อหน่วยงานอื่นที่ว่านั้นพร้อมที่จะรับ

หรือด้าน “การบังคับใช้กฎหมายและระบบงานสอบสวนคดีอาญา” ประธานคณะกรรมการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีหลายฝ่ายเห็นต่างกัน แต่แนวโน้มคือจะต้องสิ้นสุดอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพนักงานสอบสวนจะต้องมีอิสระในการปฏิบัติงาน และที่สำคัญคือจะต้องปลอดจากการแทรกแซง

ประเด็นนี้ผมได้เขียนเตือนไว้ล่วงหน้าเมื่อประมาณ 2 หรือ 3 สัปดาห์ก่อนแล้วว่า คนที่ต้องการปฏิรูปตำรวจอย่างชนิด “ปฏิวัติ” อาจผิดหวังบ้าง เพราะงานใดที่ผิดธรรมชาติเกินไปก็ยากที่จะฝืนทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

สัปดาห์นี้ก็ต้องเตือนกันอีก ด้วยว่าในเนื้อข่าวความคืบหน้าปฏิรูปตำรวจครั้งนี้ เขาตบท้ายว่า

“อาจจะต้องใช้เวลาเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกับศึกษาพิจารณาตำรวจไทยในอนาคต 2 ทศวรรษ หรือ 20 ปีข้างหน้า ว่าหน้าตาสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นอย่างไร”

เรื่องยุทธศาสตร์ 20 ปี ผมนึกว่ารัฐบาลพูดเล่นเหมือนเรื่อง “กฎหมายห้ามมีกิ๊ก” แต่ทำไปทำมากลายเป็นเรื่องพูดจริง และการปฏิรูปตำรวจก็จำเป็นต้องใช้เวลา “เชื่อมโยง” กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย

ผมไม่มายน์อะไรหรอกครับ ตอนนี้ก็อายุ 80 ปีเต็มแล้ว อีก 20 ปีก็ครบ 100 พอดี!

คุยเรื่องไม่ผิดธรรมชาติกันดีกว่า นั่นคือเรื่อง “สนามรบในเมือง” หรือ “สงครามกลางถนน” หรือนัยหนึ่งคือเรื่องวิกฤตจราจรนั่นเอง

คลิปภาพคนขับรถแท็กซี่สีชมพูลงจากรถมาชกคนขับรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองกลางถนน ฝ่ายเขียวเหลืองโดนเข้าไป 4-5 หมัดโบกมือยอมแพ้ เลือดกลบปากกลับมาขับรถไปส่งผู้โดยสารต่อ

ผู้โดยสารถ่ายคลิปโพสต์ในสื่อออนไลน์ บรรยายว่าฝ่ายสีชมพูขับปาดหน้าจนเฉี่ยวชน ฝ่ายเขียวเหลืองเปิดประตูรถลงไปดูความเสียหายก็ถูกชก ไม่เห็นมีใครยุติการรบครั้งนี้ รถคันอื่นแล่นผ่านไปมาตามปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์สงครามเกิดขึ้น

ผู้โพสต์คลิฟเล่าว่าเมื่อถึงปลายทางมิเตอร์บอกค่าโดยสาร 99 บาท แต่เขาให้ไป 200 บาทเป็นค่าทำแผลด้วย

อีกคลิปเป็นภาพภายใต้หัวข้อว่า “ทหารทำร้ายลุงรุ่นพ่อ” ตามข่าวเล่าว่าลุงรุ่นพ่อเพียงแค่ขับรถเก๋งชนท้ายเบาๆ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และไม่มีการโต้เถียงวิวาทกันแต่อย่างใด เป็นเรื่องรถเสียหายเท่านั้น รอเรียกประกันภัยมาจัดการเรื่องค่าเสียหายก็ได้ ถ้าอยากจะเอาเรื่องตำรวจก็แค่ปรับฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นเสียหาย

ในเนื้อข่าวเล่าว่าคนขับรถที่ถูกชนเป็นนายทหารยศเรืออากาศตรี

เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรผมไม่ได้ติดตามจากสื่อสิ่งพิมพ์ แต่เปิดทีวีพบรายการ “ต่างคนต่างคิด” ออกอากาศสัมภาษณ์ “ลุงรุ่นพ่อ” ที่ถูกทำร้ายอยู่พอดี ตั้งชื่อหัวข้อในรายการนี้ว่า “แค่ขอโทษ จบคดี?”

ทำให้ผมสนใจดูไปครู่หนึ่งด้วยความกังขาว่า ทำไมต้องมีเครื่องหมายคำถาม (?) ต่อท้ายคำว่า “จบคดี” ซึ่งผมตีความด้วยความเข้าใจผิด (หรือปมด้อย) ว่าเขาตำหนิตำรวจที่จบคดี

ดูผ่านๆ ได้ความประมาณว่ายังไม่มีการขอโทษ และทางผู้บังคับบัญชาหรือโฆษกของกองทัพอากาศชี้แจงเป็นเอกสารว่า ชายที่ชกคุณลุงรุ่นพ่อนั้นไม่ใช่เรืออากาศตรี แต่ก็ไม่มีรายละเอียดว่าเป็นใคร

ผมเล่า 2 เรื่องของสงครามกลางถนนให้ฟังโดยถือโอกาสแนบข้อคิด 2 ประการมาด้วยความปรารถนาดี

ประการแรก เคส “กราบรถ” ทำร้ายร่างกายจนจมูกหักเสียรูปและถูกศาลพิพากษาลงโทษ รวมไปถึงถูกสังคมประณาม จนกระทั่งเสียอาชีพ ฯลฯ ไม่ได้ให้บทเรียนแก่ใครเลย

ประการที่สองก็คือ สงครามจากจราจร ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างคนใช้รถใช้ถนนกับจราจรเท่านั้น แต่มันอาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาชีพเดียวกันก็ได้ กับคุณลุงรุ่นพ่อที่สุภาพและน่านับถือเหมือนพ่อของเราก็ได้

ตัวอย่าง “สงคราม” จากเซ็กชั่นข้างต้นนั้นแม้จะเกิดถี่ขึ้น แต่ก็ยังนับว่านานๆ ครั้ง ต่างกับสงครามระหว่างชาวบ้านกับตำรวจจราจร ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นทั่วประเทศทุกนาที เพียงแต่ว่าจะเผยแพร่เป็นข่าวในสื่อหรือไม่เท่านั้น

ฝรั่งนินทาจราจรด้วยภาษา ไทยหยาบๆ (ไม่ถึงกับหยาบคาย) ทำนองเดียวกับสื่อออนไลน์ส่วนตัวบางคน เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากคนฟัง

เฟซบุ๊กมีภาพข่าวคุณแม่ขี่สกู๊ตเตอร์ย้อนศรส่งลูกไปโรงเรียน ถูกตำรวจจับและยึดรถตาม พ.ร.บ.ขนส่งฯ ที่ห้ามใช้ขี่บนทางสาธารณะ เมื่อขอรถคืนไม่ได้จึงเอาพลั่วกระหน่ำตีทุบรถจนพัง

ในเฟซบุ๊กมีข้อความด่าว่าตำรวจจราจรอย่างหยาบคายว่า “โดนโจรปล้น” กรณีดักจับตรงยูเทิร์นโดยเอาแท่นซีเมนต์มาวางห้ามเลี้ยวขวาและห้ามยูเทิร์น

มีภาพข่าว สน.พญาไท แถลงข่าว แจ้งข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” แก่ผู้โพสต์คลิปกล่าวหาตำรวจจราจรเรียกรับเงิน

โชเฟอร์แท็กซี่เรียกผมว่า “คุณลุง” ในระหว่างที่เราคุยกันถึงเรื่องการจราจร เขาพูดว่าสังคมวิปริต ขับรถในกรุงเทพฯ นี่รู้สึกเหมือนกำลังเข้าสนามรบ