Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

หาหมอบนเมตาเวิร์ส

 

เมตาเวิร์ส (Metaverse) น่าจะเป็นคำศัพท์เทคโนโลยีสุดฮอตประจำปีนี้เคียงคู่ไปกับ NFT เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่บทสนทนาเรื่องเมตาเวิร์สและศักยภาพของเมตาเวิร์สอยู่ทั่วทุกที่

แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านยังไม่ค่อยแน่ใจว่าตกลงแล้วเมตาเวิร์สคืออะไร และมันจะใช้ทำอะไรในชีวิตเราได้บ้าง ก็ไม่ต้องกลุ้มใจไปเลยนะคะ

เพราะอันที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยมีใครแน่ใจสักเท่าไหร่เหมือนกันเนื่องจากนี่ยังถือเป็นคอนเซ็ปต์ที่ใหม่มากๆ ที่ทุกคนกำลังเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันอยู่

สิ่งที่พอจะรู้แน่ๆ ก็คือเมตาเวิร์สใช้เพื่อพูดถึงเวอร์ชั่นถัดไปของอินเตอร์เน็ตที่จะควบรวมเอาเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ AR และ VR รวมถึงการเชื่อมต่อ อย่างเช่น เครือข่าย 5 G เข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างให้เกิดสิ่งแวดล้อมออนไลน์ที่สมจริงสมจังมากขึ้นและเรามีปฏิสัมพันธ์ได้มากกว่าที่ผ่านมา

หลายบริษัทกระโจนเข้าใส่เมตาเวิร์สเพราะไม่ต้องการตกขบวนเทคโนโลยีสุดฮอตเทรนด์นี้

ตัวอย่างการใช้งานที่หยิบยกมาพูดถึงกันบ่อยๆ ก็อย่างเช่น การประชุมบนเมตาเวิร์ส การซื้อขายของบนเมตาเวิร์ส การเรียนบนเมตาเวิร์ส หรือการเข้าสังคมบนเมตาเวิร์ส ที่ได้ยินบ่อยจนเริ่มชินแล้ว

ดังนั้น ฉันจึงค่อนข้างประหลาดใจที่ได้อ่านบทความ The Amazing Possibilities Of Healthcare In The Metaverse ของเว็บไซต์ Forbes ที่พูดถึงความเป็นไปได้ของการได้รับบริการสาธารณสุขบนเมตาเวิร์ส ว่าต่อไปเราอาจจะหาหมอกันผ่านตัวตนอวตารของเราก็ได้

 

คอนเซ็ปต์ของ Telemedicine ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกทำกันมากขึ้นตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา

การพบแพทย์ผ่านทางออนไลน์นอกจากจะช่วยให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลโรงพยาบาลสามารถรับการรักษาได้อย่างทั่วถึงแล้วก็ยังลดโอกาสของการได้รับเชื้อไวรัสจากการพบเจอกันซึ่งๆ หน้าด้วย โดยปกติมักจะใช้กับอาการป่วยที่ไม่ได้เข้าขั้นรุนแรง แพทย์หรือพยาบาลสามารถวินิจฉัยอาการและสั่งจ่ายยาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นการคุยผ่านโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลก็ตาม

ซึ่งการมาถึงของเมตาเวิร์สก็จะยิ่งทำให้การหาหมอระยะไกลผ่านออนไลน์สามารถทำได้แบบที่สมจริงและลงลึกยิ่งกว่าเก่า

บทความนี้ยังได้พูดถึงโรงพยาบาลเสมือนจริง หรือ Virtual Hospitals ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ของบริษัท Latus Healthcare ที่กำลังพัฒนาและจะพร้อมให้บริการจริงได้ในอีกประมาณ 1 ปีข้างหน้า

ลองนึกภาพการสวมแว่น VR แล้วไปโรงพยาบาลเสมือนจริงที่ออกแบบมาให้ได้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลจริงๆ ทั้งที่ตัวเรายังนั่งอยู่ที่บ้าน เราจะได้พบและปรึกษาหมอที่จะให้การวินิจฉัยเราราวกับเรานั่งอยู่ในห้องตรวจ

เทคโนโลยี Telemedicine ที่รวมถึงการรับการรักษาบนเมตาเวิร์สยังช่วยทำให้เราสามารถพบแพทย์ที่ไหนก็ได้บนโลกโดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตัวเองตั้งแต่แรก

อย่างเช่น เราเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรบางอย่างและอยากจะพบแพทย์เฉพาะทางที่ฝีมือดีแต่แพทย์คนนั้นอยู่ในยุโรป เราก็สามารถนัดเพื่อนำตัวตนเสมือนจริงของเราไปนั่งคุยกับตัวตนเสมือนจริงของแพทย์คนนั้นได้เพียงแค่สวมแว่น VR เท่านั้น

หากแพทย์ต้องการข้อมูลการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ผู้ป่วยก็แค่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิกที่อยู่ใกล้ที่สุดและแชร์ผลการตรวจนั้นให้กับแพทย์ได้นำไปวินิจฉัยต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้นของโรงพยาบาลเสมือนจริงการรักษาจะโฟกัสไปที่การให้คำปรึกษาหรือการทำกายภาพบำบัดเป็นหลัก การทำกายภาพบนโรงพยาบาลเสมือนจริงอาจจะใช้เทคโนโลยีอื่นมาช่วยเสริม อย่างเช่น การใช้กล้องเพื่อตรวจสอบระยะการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อดูว่าผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ดีขึ้นหรือไม่

อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือสิ่งที่เรียกว่า Digital Twins หรือฝาแฝดดิจิตอล ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างขึ้นมาจำลองร่างกายของผู้ป่วยโดยใช้ข้อมูลผู้ป่วยคนนั้นๆ ซึ่งฝาแฝดดิจิตอลของเรานี่แหละที่อาจจะเป็นผู้ป่วยให้แพทย์ตรวจบนเมตาเวิร์สก็ได้

CEO ของ Latus Health บอกว่าในที่สุดแล้วฝาแฝดดิจิตอลก็จะกลายเป็นเหมือนหุ่นดัมมี่ให้แพทย์สามารถใช้ในการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคนคนนั้นได้ อย่างเช่น คาดการณ์ว่าหากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดจะใช้เวลาในการพักฟื้นแค่ไหน หรือผู้ป่วยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาประเภทต่างๆ อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะให้การรักษากับตัวผู้ป่วยจริงๆ

ในขณะที่เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน (Blockchain) ก็จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสุขภาพซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าและมีความอ่อนไหวสูงและยังช่วยให้มีความคล่องตัวในการแลกเปลี่ยนข้อมูลมากขึ้น แพทย์ก็จะเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นของเราได้ง่ายกว่าเดิมในขณะที่ข้อมูลก็ไม่หลุดรั่วไปไหน

 

จะเห็นว่าการทำสาธารณสุขบนเมตาเวิร์สนั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีหลายอย่างที่มาประกอบเข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้การพบแพทย์แบบเสมือนจริงมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ซึ่งนอกจากจะต้องมีเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อที่ครบพร้อมแล้ว สิ่งที่จะต้องปลดล็อกกันต่อไปก็คือทัศนคติของผู้ป่วยที่เคยชินกับการรับการรักษาแบบเดิมมาโดยตลอด

เพราะคนส่วนใหญ่ยังมองว่าการหาหมอแบบระยะไกลไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หรือไฮเทคขนาดเอาตัวตนเสมือนจริงมานั่งคุยกันได้ก็ยังเป็นทางเลือกสำรองถัดจากการพบเจอตัวจริงกันอยู่ดี

นอกจากนี้ ก็ยังมีอุปสรรคอื่นๆ อย่างการที่อุปกรณ์แว่น VR ก็ไม่ได้ราคาถูก แม้ว่าจะถูกลงกว่าสมัยก่อนแต่ก็ยังไม่ได้ถูกมากพอที่จะเป็นทางเลือกให้กับทุกคนได้ ยังไม่นับค่าใช้จ่ายของการเชื่อมต่อที่ต้องการความรวดเร็วและความสเถียรด้วย ในที่สุดก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาของการเข้าถึงการรักษาได้อย่างไม่เท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม หากมีใครที่สามารถทำให้การหาหมอบนเมตาเวิร์สมีต้นทุนที่ถูกลงมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ป่วยก็ได้รับผลลัพธ์ที่ดีด้วย ฉันก็คิดว่าการหาหมอบนเมตาเวิร์สอาจจะกลายเป็นตัวเลือกแรกของผู้ป่วยที่อาการไม่หนักได้ในที่สุด เพราะอะไรจะสะดวกสบายไปกว่าการที่ได้หาหมออยู่ที่บ้านโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง หรือเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเชื้อโรคนอกบ้าน

แถมยังรักษาความเป็นส่วนตัวได้เพราะไม่ต้องเจอใครด้วย