เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (4) บุคคลแรกที่ถวายอาหารก่อนตรัสรู้

คราวที่แล้วพูดทิ้งท้ายไว้ว่า นางสุชาดานี้ ที่จริงเป็นมารดาของยสกุมาร พุทธประวัติบอกเราว่า นางสุชาดาเธออยู่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองราชคฤห์แคว้นมคธ แต่ยสกุมารอยู่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี จะมาเป็นแม่ลูกกันได้อย่างไรหนอ ใครๆ ก็สงสัยอย่างนี้

แต่คัมภีร์อรรถกถาท่านไขข้อข้องใจให้เราได้ เอาไว้พูดถึงตอนท้ายนะครับ

ตอนนี้ขอเล่าเรื่องการถวายข้าวมธุปายาสก่อน

เมื่อพระมหาสัตว์ (คือพระสิทธัตถะ) ทรงเห็นว่าการทำทุกรกิริยาอดอาหารนั้นมิใช่ทางบรรลุ จึงทรงกลับมาเสวยพระกระยาหารใหม่ ให้มีพระพลานามัย เพื่อจะได้มีกำลังบำเพ็ญเพียรทางจิต

ตรงนี้คัมภีร์เล่าเป็นตำนานว่า พระอินทร์มาเทียบเสียงพิณสามสายให้ฟัง ตึงนักสายก็จะขาด ดีดเสียงไม่ไพเราะ หย่อนนักก็เสียงไม่ไพเราะเช่นกัน ต้องพอดีๆ เสียงจึงจะไพเราะ พระองค์ “ทรงได้คิด” ว่า ทุกอย่างต้องพอดีจึงจะดี

พระอินทร์ในที่นี้ อาจมิใช่พระอินทร์ตัวเขียวๆ ที่ไหน หากเป็น “สัญลักษณ์” บอกว่า เมื่อทรงพยายามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่บรรลุ แสดงว่ามีข้อผิดพลาดเสียแล้วล่ะ การ “ได้คิด” ขึ้นมาว่าทุกอย่างต้องพอดี มันเกิดขึ้นมาเองหลังจากประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติ

แต่ถ้าท่านผู้อ่านเสียดายพระอินทร์ ก็ให้พระอินทร์มามีบทบาทเตือนพระสติของพระมหาสัตว์ก็ไม่ว่าอะไร

ปัญจวัคคีย์อันมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า รู้สึกผิดหวังที่พระองค์ทรงเลิกทำทุกรกิริยา ถึงกับประณามแรงๆ ว่าพระองค์เป็นคน “คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมาก” พูดง่ายๆ คือหาว่าเป็นคนขี้เกียจเห็นแก่กิน ไม่มีทางบรรลุมรรคผลดอก ปานนั้นเชียวนิ ทั้งห้าจึงพากันหนีไปอยู่ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียกสารนาถ อยู่รัฐพิหาร)

สารนาถ กร่อนมาจากคำเต็มว่า “สารังคนาถ” แปลว่าที่พึ่งแห่งกวาง (สารังค=กวาง -นาถ=ที่พึ่ง) เป็นป่าสงวนพันธุ์สัตว์ซึ่งมีกวางเป็นส่วนมาก ฝรั่งจึงแปลว่า The Deer Park หรือ The Deer Sanctuary

หลังเลิกทุกรกิริยาใหม่ พระสิทธัตถะก็เสด็จไปประทับอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ใกล้หมู่บ้านอุรุเวลาเสนานิคม

นางสุชาดา ธิดานายบ้านอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งเคยบนเทพที่ต้นไทรสมัยยังสาวว่าถ้าได้แต่งงานกับคนมีสกุลเสมอกัน และได้บุตรชายจะแก้บน ต่อมาได้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี ไปอยู่ตระกูลสามี จนได้บุตรชายชื่อยสกุมาร เมื่อบุตรชายเจริญวัยเป็นหนุ่มแล้ว จึงนึกได้ว่ายังมิได้แก้บน จึงเดินทางกลับบ้านเกิด

วันนั้น นางสั่งสาวใช้ให้ไปปัดกวาดโคนต้นไทรให้สะอาด สาวใช้ไปเห็นพระองค์ประทับนิ่งสงบอยู่ คิดว่าเป็นเทพที่สิงอยู่ต้นไทรสำแดงตน ตาลีตาเหลือกมารายงานนายหญิง ว่าเทพเจ้าท่านกำลังรออยู่ นางสุชาดาก็เอาข้าวมธุปายาสที่เตรียมไว้ใส่ถาดทองปิดอย่างดี แล้วรีบนำไปยังต้นไทร ไปถึงก็ไม่กล้ามองตรงๆ ยื่นถาดข้าวมธุปายาสให้แล้วก็รีบกลับบ้าน

พระมหาบุรุษเจ้า ทรงรับถาดข้าวมธุปายาสแล้ว ก็ทรงปั้นข้าวมธุปายาสเป็นก้อนได้ 45 ก้อน แล้วเสวยจนหมด เสร็จแล้วทรงลอยถาดลงสู่แม่น้ำ

ตํานานเล่าต่อว่า ด้วยอานุภาพพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์แล้ว ได้เกิดอัศจรรย์ ถาดนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปประมาณ 1 เส้น แล้วก็จมลง ว่ากันอีกนั่นแหละว่า จมลงไปยังนาคพิภพแห่งพญากาฬนาคราช

พญานาคซึ่งนอนหลับตลอดกาลยาวนาน ได้ยินเสียงถาดกระทบกับถาดใบเก่าสี่ใบดัง “กริ๊ก” ก็สะดุ้งตื่น ร้องว่า “อ้อ มาตรัสรู้อีกองค์แล้วหรือ”

คงเป็นภาษาสัญลักษณ์มากกว่าแปลตามตัวอักษร คือถึงตอนนี้จะได้เกิดมี “พุทธ” (“ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” เกิดขึ้นหนึ่งพระองค์ ท่ามกลางเหล่าสัตว์ผู้หลับสนิทตลอดกาลนานด้วยอำนาจ “กิเลสนิทรา”)

และถาดที่ลอยทวนน้ำนั้น หมายถึงพระมหาบุรุษเจ้าจะได้ตรัสรู้โลกุตรธรรมสูงสุด อัน “ทวนกระแสโลก” โดยทั่วไป

เข้าใจว่าหลังจากแก้บนแล้ว นางสุชาดา คงเดินทางกลับเมืองพาราณสี

ที่คัมภีร์อรรถกถาท่านบอกว่า นางสุชาดาคือมารดาของยสกุมาร จึงมีความเป็นไปได้ ด้วยประการฉะนี้แล