เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (3)

สัปดาห์ที่แล้ว พูดถึง “บุคคลแรกที่พูดได้หลังเกิดใหม่ๆ” คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ต่อมาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย และได้นำ “อาสภิวาจา” (พระวาจาอันองอาจ) ที่ทรงเปล่งออกมา มาให้อ่านกัน พร้อมอ้างที่มาเสร็จ

แต่ต้องขออภัยที่อ้างไม่หมด และ “อาสภิวาจา” ก็ผิด ขอแก้เพื่อความถูกต้องดังนี้ครับ

อาสภิวาจา มีบันทึกในพระไตรปิฎก 2 แห่ง คือพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อที่ 377 หน้าที่ 253 เป็นคำพูดของพระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ๆ…” กับอีกแห่งหนึ่งในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อที่ 26 หน้าที่ 17 ในรูปพระพุทธพจน์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่…”

ใจความของอาสภิวาจาตรงกัน ต่างกันนิดเดียว “อยมนฺติมา เม ชาติ” ในเล่มที่ 14 ไม่มีคำว่า “เม” เท่านั้นเอง

ข้อความเต็มมี ดังนี้ครับ

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺสส อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

“เราเป็นผู้เลิศในโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก นี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป”

3. อุบาสกอุบาสิกาคู่แรก

คราวนี้มาถึงสิ่งแรกประการที่ 3 ในพระพุทธศาสนา ถ้าถามว่า ใครเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรก คำตอบมีสองอย่างคือ อุบาสกคู่แรกที่ถึงรัตนะสองคือพระพุทธ และพระธรรม คือ วาณิชสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ

ส่วนคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือบิดามารดาของยสกุมาร

ตปุสสะ ภัลลิกะเป็นใคร?

คัมภีร์พระพุทธศาสนาเรียกชื่อ ว่า ตปัสสุ และ ภัลลิยะ ก็มี อรรถกถาเถรคาถาบอกว่า ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรชายของหัวหน้ากองเกวียนชื่อ โปกขรวตี ทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (ไม่ทราบที่ไหน นัยว่าอยู่ตอนเหนือแห่งชมพูทวีป แถวๆ ตักสิลา ประมาณนั้น) ทั้งสองเดินทางมายังเมืองราชคฤห์ พบพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) จึงน้อมถวายข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อน (บาลีเรียกว่า มันถะ และ มธุปิณฑิกะ)

ตปสสะ และ ภัลลิกะ ได้เปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสอง (พระพุทธและพระธรรม) เป็นสรณะ เรียกว่า “เทฺววาจิกอุบาสก” เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้ว กราบทูลลากลับยังมาตุภูมิ

ข้อความตรงนี้นักปราชญ์พม่าเขียนเพิ่มเติมว่า วาณิชทั้งสองพี่น้อง เป็นชาวหงสาวดี เดินทางไปจากพม่า ไปพบพระพุทธองค์ ได้ถวายสัตตุผงและสัตตุก้อน แล้วเปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสองเป็นที่พึ่งดังกล่าวแล้ว ก่อนจากได้กราบทูลขอสิ่งที่ระลึกจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร พระเกศาหลุดติดพระหัตถ์มา 8 เส้น แล้วประทานให้พ่อค้าทั้งสอง

เขาทั้งสองกลับถึงมาตุภูมิ ได้ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุทั้ง 8 องค์ไว้บูชา พระเจดีย์นั้นคือ ชเวดากอง ว่ากันอย่างนั้น

นับเป็นการกล่าวอ้างที่เข้าที ส่วนเท็จจริงอย่างไร ฟังๆ ไว้ก็ไม่เสียหลาย

อรรกถาอีกเช่นกันบอกว่า ต่อมาสองพี่น้องได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าใหม่ ได้ฟังธรรมแล้วตปุสสะบรรลุโสดาปัตติผล ส่วนภัลลิกะได้ทูลขอบวช และได้บรรลุพระอรหัตในเวลาต่อมา

อุบาสกอุบาสิกาคู่ที่สองที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือ บิดามารดของยสกุมาร ชาวเมืองพาราณสี มีเรื่องเล่าว่า หลังจากพระพุทธองค์เสด็จมาแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน และประทานการอุปสมบทให้ทั้งห้าท่านเป็นภิกษุแล้ว พระพุทธองค์ยังประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน

คืนหนึ่ง ยสกุมาร บุตรชายของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี เกิดเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย หนีออกจากบ้านกลางดึก ขณะนางรำทั้งหลายหลับใหลกันหมด ยิ่งเห็นภาพอันไม่น่าดูของบรรดานางรำทั้งหลายยิ่งทำให้เด็กหนุ่มบังเกิดความเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียนยิ่งขึ้น

ถึงกับเดินพลางเปล่งอุทานด้วยความสลดใจว่า “อุปทฺทูตํ วต โภ อุปสฏฺฐํ วต โภ = วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ”

แปลเป็นไทยๆ ให้สมกับอารมณ์เอือมสุดขีดว่า “กลุ้มจริงโว้ย” ประมาณนั้น

เดินไปบ่นไปจนถึงป่าอิสิปตน มฤคทายวัน ไม่รู้ตัว ขณะนั้นจวนสว่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตื่นบรรทม เสด็จจงกรมอยู่ ได้ยินดังนั้น ตรัสว่า “อิทํ อนุปทฺทูตํ อิทํ อนุปสฏฺฐํ = ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง”

เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ เข้าไปกราบแทบยุคลบาท สดับพระธรรมเทศนา จบพระธรรมเทศนาได้บรรลุโสดาปัตติผล ทูลขอบวช พระองค์ก็ประทานการอุปสมบทให้

รุ่งเช้า บิดามารดายสกุมาร ตามหาบุตรที่หายไป มาพบพระพุทธองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใส ได้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับว่าสองสามีภรรยาเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

อรรถกถาได้ให้ความรู้แก่เราว่า มารดาของยสกุมารนั้นก็คือ นางสุชาดา ที่ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้นั้นแล นางได้บนเทพต้นไทรไว้ก่อนแต่งงาน เมื่อแต่งงานก็ได้ตามสามีไปอยู่ที่เมืองพาราณสี ตอนพบพระพุทธองค์นั้นนางได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อแก้บนที่บนไว้กับเทพต้นไทรข้างบ้านดังกล่าว