ผู้เขียน | ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง |
---|---|
เผยแพร่ |
เอ่ยชื่อ “อมรา อัศวนนท์” (นามสกุลจริง “บุรานนท์”) เชื่อว่าคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป อาจคุ้นชื่อดีเพราะเธอเป็นนางเอกรุ่นเก่า เริ่มแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2498 มาวันนี้พระเอกและนักแสดงชายที่เคยแสดงร่วมกันต่างเสียชีวิตกันไปหลายคน เหลือแต่ “สมบัติ เมทะนี”
วันก่อนมีโอกาสได้ไปสนทนากับเธอที่คฤหาสน์หลังใหญ่เนื้อที่เกือบ 1ไร่ ย่านนวมินทร์ 143 ซึ่งแม้อายุ 84 ปีแล้ว แต่อดีตรองนางสาวไทยอันดับสาม สาวไทยคนแรกที่เข้าร่วมประกวดนางงามจักรวาล ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2497 ยังคงมีสุขภาพยังแข็งแรง หุ่นดี พูดจาคล่องแคล่วไม่ติดขัด เดินเหินปกติ ดูแล้วไม่เหมือนผู้สูงวัยทั่วไป
เรื่องนี้เจ้าตัวบอกด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า
“สุขภาพก็โอเค สมองยังดี ขับรถไปไหนมาไหนได้ เป็นคนชอบคุย ชอบสนุก มาติดเหงาตอนที่ช่วงโควิดนี่เอง เพราะธรรมดาจะไปกินข้าวกับเพื่อนกับฝูง และไปออกกำลังกาย แต่พยายามทำสวน ปลูกต้นไม้ มันก็เพลินๆ ไป ดิฉันเป็นโรคจิต… โรคบ้า ชอบต้นไม้ (หัวเราะ) คนเราถ้าวันหนึ่งๆ ตื่นมาไม่รู้จะทำอะไร มันจะเครียด ที่ผ่านมาวางแผนไว้ตลอด เช่น วันนี้จะทำต้นไม้ก็เป็นความสุข เพราะเราชอบต้นไม้อยู่แล้ว บางวันเสื้อผ้าตัวไหนที่ไม่เอา จะไปดูในตู้ โละๆ ให้เขาไปบ้าง จะได้ไม่แน่นมาก”
นอกจากจะใช้เวลาว่างไปกับการปลูกและดูแลต้นไม้ รวมทั้งจัดเสื้อผ้าแล้ว ยังทำกับข้าวรับประทานเองด้วย ซึ่งคุณอมราบอกว่า ของมันมากก็ไม่ดีสำหรับคนแก่ ต้องกินของเบาๆ พวกยำอะไรอย่างนี้ เวลาไปตลาดซื้อนู่นซื้อนี่ก็เพลินไปวันๆ ถ้าวันไหนเงียบเหงา หรืออยู่คนเดียว จะฟังเพลง
พอดีลูกชายย้ายไปอยู่กับภรรยา ส่วนลูกสาวไปอยู่กับสามีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลานชายที่มีอยู่คนเดียวไปอยู่แคนาดา เลยอยู่คนเดียวกับแม่บ้าน 1 คน แต่ติดต่อกับลูกทุกวัน ช่วงโควิด-19 ระบาด ลูกห้ามไม่ให้ไปไหนเลย และดิฉันเองมีความรู้สึกว่าถ้าจะไป เดี๋ยวมันก็ติด เดี๋ยวตายเร็ว
อยากตายไปตามวัยดีกว่าจะไปติดโรค
วันนี้คุณอมราย่าง 85 ปีแล้ว แต่ยังคงรักษารูปร่างค่อนข้างดี เพราะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังที่เธอเล่าว่า พยายามไม่กินตอนเย็นมาก เพราะหมอบอกว่า ตอนเย็นเวลาไม่ได้ออกกำลังกาย จะไปเป็นไขมัน ส่วนการออกกำลังกาย ใช้วิธีเดินรอบหมู่บ้าน 2-3 รอบ แล้วก็ปั่นจักรยาน พร้อมอบเซาน่าที่บ้าน เพื่อให้เหงื่อออก เลยทำให้ผิวยังพอไปวัดไปวาได้ ในวัย 84 ปี
ส่วนโรคประจำตัว เธอว่า มีเบาหวานบ้าง หมอห้ามไม่ให้กินของหวานเลย คุมได้แล้ว ทั้งยังผ่าตัดหัวเข่า 2 ข้างหลังปวดหัวเข่าอยู่นาน
สำหรับการดูแลใบหน้า อดีตนางเอกรางวัลพระสุรัสวดี นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม เรื่องรักริษยา ปี 2501 ระบุว่า นอกจากออกกำลังกายแล้วก็ใช้ครีมดีๆ พร้อมนวดหน้าทุกวัน นวดแบบตบๆ แรงๆ ที่ต้องตบแรงเพื่อให้เลือดมาเลี้ยงหน้า พอเสร็จเอาน้ำเย็นประคบ เพราะหน้าจะร้อนด้วยการตบ เหมือนกับสร้างคอลลาเจนทางธรรมชาติ จากนั้นใช้น้ำมันบำรุง แล้วนวดขึ้นๆ ตรงไหนที่เริ่มเป็นตีนกา เอานิ้วรีดเข้าไป มันไม่หายหรอกนะ แต่ก็ดีขึ้น ผิวหน้าเลยไม่เหี่ยวมาก
บางคนถ้าไม่ดูแลก็เหี่ยว
คุณอมรานั้นห่างหายจากการแสดงเกือบ 20 ปีแล้ว หลังต้องดูแลสามี พล.ต.ท.อังกูร บุรานนท์ ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง กระทั่งเสียชีวิต
ในวันว่างเธอชอบดูละคร พร้อมเปรียบเทียบวงการบันเทิงยุคก่อนกับปัจจุบันให้ฟังว่า “เด็กใหม่ๆ เล่นเก่งกันทั้งนั้น อาจไปเรียนการแสดงมา เขาเข้าใจบทบาทของแต่ละคน ฉากละครสมัยนี้ดีขึ้นมาก สมัยก่อนทำฉากอะไรต่ออะไรยังโบราณ สมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะละครของคุณไก่ วรายุทธ นี่ โอ้โห! เสื้อผ้าอะไรต่ออะไร สวยๆ ทั้งนั้นเลย แค่ดูฉากยังเพลิน บางทีเห็นเขาจัดดอกไม้อย่างนี้ก็มาจัดที่บ้านบ้าง เหมือนเป็นไอเดียให้เราเห็นว่า เออ! ต้นนี้ ใบนี้ ทำแบบนี้สวยนะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแต่ดอกไม้แพงๆ”
หากรู้ประวัติครอบครัวของคุณอมราแล้ว จะรู้เธอแตกต่างจากนักแสดงคนอื่นทั่วไป เริ่มจากพ่อ คือหลวงประเจิดลักษณ์ (สมโภช อัศวนนท์) ส่วนแม่เป็นชาวฝรั่งเศส ตอนเรียนอยู่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย มีคนหิ้วกระเป๋าไปถึงห้องไม่หิ้วเอง เรียกว่าครอบครัวฐานะดีถึงขนาดใช้ทุนส่วนตัวไปประกวดนางงามจักรวาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไปพร้อมกับครอบครัว
หลังประกวดในเวทีนางงามโลกก็เข้าสู่วงการบันเทิง เธอเป็นสาวงามที่สวยมากในสมัยนั้น ทรวดทรงองค์เอวไม่ต้องพูดถึง เป็นสาวเอวเอส 22 นิ้ว ที่มีหน้าอกหน้าใจในแบบฉบับสาวลูกครึ่ง 34 นิ้ว ส่วนสะโพก 34 นิ้ว
ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่นายกรัฐมนตรียุคนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งอยู่ในอำนาจช่วงปี 2502-2506 อยากได้มาเป็นอนุภรรยา ในขณะที่คุณอมรารักกับนายตำรวจชื่อ “อังกูร บุรานนท์”
คุณอมราเล่าเหตุการณ์ช่วงสำคัญในชีวิตให้ฟังว่า “เคยคุยทางโทรศัพท์กับท่านว่า หนูเกิดมาทั้งที มีความหวังไม่อยากจะเป็นเมียน้อยใคร ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวอยู่กับฉันเป็นคนสุดท้ายในชีวิต ตอนนั้นท่านแก่มาก 50 กว่าแล้ว จะให้ใช้นามสกุลด้วย เลยตอบไปว่าหนูมีคู่รักแล้ว มีคุณอังกูร ตอนนั้นกลัวมากเลย หนีมาจากบ้าน กลัวมากเลย โทรศัพท์บอกกับคุณอังกูรที่อยู่อังกฤษว่า ถ้าเธอไม่กลับมาก่อน ฉันก็จะไม่ได้แต่งงานกับเธอแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน มันเครียดมากตอนนั้น ออกไปไม่ได้ จะออกไปแต่งงาน เขาก็ไปยึดพาสปอร์ตที่สนามบินหาว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์ คือไม่ให้ออก และส่งแฟนไปอยู่เมืองนอก เพราะรู้ว่าชอบกันอยู่”
เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ แต่คุณอมรายังจดจำรายละเอียดได้หมด เหมือนถูกบันทึกไว้ในสมอง
“ช่วงนั้นกลัวก็กลัว แต่ท่านยังดี ความดีท่านก็มี ท่านไม่ได้บังคับ ท่านได้แต่วอน แบบอยากได้อะไร ทำไมไม่ชอบนายกอ นี่คำพูดติดหูติดมาจนทุกวันนี้ เลยถามไปว่า…ใครคะนายกอ ท่านตอบนายกฯ ยังไงล่ะ จะเอาอะไร นอกจากเดือนกับดาว เลยบอกหนูไม่เอาเดือน ไม่เอาดาว แล้วก็ไม่เอาคุณด้วย ให้เท่าไหร่หนูก็ไม่เอา รถยนต์ เครื่องเพชร อะไรต่ออะไร”
“ตอนหลังได้ไปคุยกับลูกน้องจอมพลสฤษดิ์เลยได้รู้ว่า ท่านชอบใจมาก บอกว่าดิฉันเหมือนม้าพยศ”
คุณอมราให้คำอธิบายเพิ่มเติมที่กล้าปฏิเสธจอมพลผ้าขาวม้าแดงว่า “เราเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 19-20 ก็อยากจะได้เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเรา แต่ท่านแก่มากเลย แล้วหน้าตาก็ไม่ได้หล่อ หน้าตาเหมือนหมู แก้มห้อย (หัวเราะ)”
ย้อนกลับไปยุคนั้น เรื่องราวของคุณอมราเป็นข่าวใหญ่โตในหน้าหนังสือพิมพ์นานนับเดือน อย่างที่เธอเล่า “มีข่าวดาราหนังไม่ได้เสียภาษีเล่นหนัง ตอนนี้เป็นคอมมิวนิสต์ ต้องสืบสวนสอบสวน ดิฉันก็ต้องไปโรงพักทุกวัน ยังโชคดีที่รอดมาได้ อย่างนั้นคงไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นกับคุณอังกูร บุรานนท์ ที่สำคัญโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้บังคับให้ไปเป็นอนุของท่าน”
ทั้งหมดนี้คงทำให้ได้รู้จักตัวตนของ “อมรา อัศวนนท์” อดีตนางงามและนางเอก ซึ่งห้วงหนึ่งของชีวิตต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้นำประเทศยุคนั้น
ขณะที่ปัจจุบันเธอมีความสุขอยู่กับต้นไม้สารพัดชนิด โดยมีลูกชาย-หญิงสองคน และหลานชาย 1 คน เป็นกำลังใจสำคัญคอยดูแลห่วงใย