อาจินต์รำลึก : แปดปีที่แก่งเสี้ยน (15)/บทความพิเศษ แน่งน้อย ปัญจพรรค์

บทความพิเศษ

แน่งน้อย ปัญจพรรค์

 

อาจินต์รำลึก

: แปดปีที่แก่งเสี้ยน (15)

 

ผักหวานป่า

พืชอย่างเดียวที่ทำได้

ผักหวานป่าเป็นพืชที่เด็กบ้านนอกอย่างเราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าพวกแม่ๆของเราทุกคนต่างก็ชื่นชมยินดีกันทุกบ้านเมื่อมีผักหวานป่าออกสู่ตลาดตามฤดูกาลของมันคือในหน้าร้อน ราวมีนาคม-เมษายน

พวกเด็กๆ ส่วนมากไม่ได้ซาบซึ้งอะไรกับมันมากนัก กับข้าวที่ทำจากยอดผักหวานป่าก็มีแต่พวกแกงเลียงและผัดไข่ซึ่งดูจะเป็นอย่างเดียวที่ผักหวานเข้าถึงเด็กได้ดีหน่อย

ถัดจากรุ่นแม่ๆ น้าๆ ผักหวานป่ายังได้รับความนิยมสืบทอดต่อมาถึงพวกพี่ๆ หลายคนที่ชอบทำกับข้าว ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับรุ่นโบราณหลายรุ่นที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น

พี่สาวฉันคนหนึ่งทำผักหวานป่าผัดไข่อร่อยมาก อร่อยกว่าที่เคยกินจากคนอื่น

ความจริงมันก็เป็นของง่ายๆ แค่ยอดผักหวานอ่อนกับไข่ แต่ต่างกันที่การปรุง

นอกจากผัดไข่ แกงเลียงแล้ว พี่สาวคนนี้ยังทำแกงผักหวานใส่ไข่มดแดงได้สุดยอด

จำได้ว่ามันมีผักหวาน เห็ด ไข่มดแดง แค่นั้น แต่น้ำพริกที่ใช้แกงเป็นอะไรบ้างไม่รู้ รู้แต่ว่ามีไม่กี่อย่าง ตำง่ายๆ

แต่ฉันทำกับข้าวไม่เป็นไม่รู้ใส่อะไรบ้าง จนมาถึงปัจจุบัน มาอยู่แก่งเสี้ยน อยู่เชิงเขาที่มีผักหวานป่าอยู่ข้างบนนั้น เวลามีชาวบ้านขอผ่านที่ดินเราขึ้นเขาไปเก็บผักหวานแล้วขากลับเขาก็แวะเอาผักหวานมาฝาก

ฉันก็เลยโทร.ถามสูตรน้ำพริกแกงผักหวานไข่มดแดง

โชคดีที่นายจักรเป็นคนชอบกิน กินเก่ง เขาทำกับข้าวเป็น เป็นคนรู้รสอาหาร-คุณสมบัตินี้น่าจะจำเป็นกับคนที่จะทำอาชีพเกี่ยวกับอาหาร ต้องชิมอาหารแล้วรู้ว่าจะใส่อะไรบ้าง หรือรู้ว่าอาหารที่กินนั้นมันอ่อนเครื่องปรุงอะไร แก่อะไร ควรจะปรับเพิ่มลดอะไรอย่างไรเวลาทำเอง

ฉันเห็นแม่ครัวบางคนเป็นแม่ครัวจนเกือบตายยังทำกับข้าวโดยไม่รู้รสอาหาร ทำไปตามความจำ ความคุ้นเคย ไม่สามารถพัฒนาได้

ตกลงฉันก็ได้กินแกงผักหวานไข่มดแดงแล้ว อร่อยเหมือนของพี่สาวคนนั้นทำในการลงมือลองทำครั้งที่สองเป็นต้นมา และน่าจะได้สืบทอดต่อไปไม่ขาดตอน แม้ตอนนี้พี่สาวคนที่ทำอร่อยนั้นไม่อยู่ทำให้อีกแล้ว

แล้วฉันก็คิดปลูกผักหวานป่า ตั้งแต่รู้ว่ามันขึ้นได้บนภูเขาหลังบ้าน มันก็ต้องขึ้นได้แถวนี้ด้วย ฉันรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาปลูกกันได้แล้ว หาหนังสือแนะนำการปลูกได้เล่มหนึ่งเป็นเล่มเล็กๆ จากคนที่มีประสบการณ์การปลูกมามากแล้ว (ปลูกผักหวานป่าง่ายมาก โดยคุณอำนวย คลี่ใบ ปี 2552) แล้วก็ได้คุยกับคนอื่นอีกพอสมควร มีคนหนึ่งไม่รู้จักกันเลย เขาเห็นฉันยืนดูหนังสืออยู่ในชั้นหนังสือเขาก็แนะนำเลย

“ปลูกผักหวานหรือครับ ง่ายๆ เลย ผมทำมาเยอะแยะแล้ว เอาเม็ดมันหว่านๆ โรยๆ ลงไปเลยตามแนวรั้วที่คุณจะทำน่ะ”

“แล้วยังไงอีก”

“ไม่ต้องทำอะไร อย่างมากเอาดินกลบนิดๆ บางๆ ฝนมามันก็ขึ้นเอง”

“ทำไมมันง่ายยังงั้นล่ะ”

“ก็ทำให้มันง่ายซิครับ อย่าทำให้มันยาก ผมทำมาแล้วนะครับ” คนที่พูดนี้เป็นนักปลูกป่า

ฉันอ่านหนังสือเล่มเล็กที่ซื้อมาแล้ว มันช่างไม่เหมือนกับที่นักปลูกป่าพูดเอาเสียเลย

ผลสุดท้ายเราตกลงทำตามแบบของเราเองดีกว่า เราประยุกต์จากตำราและจากประสบการณ์ที่นายจักรเขาพอมีอยู่บ้าง

นายจักรค้นหาใน internet ว่ามีใครทำอะไรเรื่องนี้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับเราบ้าง ค้นได้มาสามที่ เลือกเอาที่ที่ดูน่าเชื่อถือหน่อยและใกล้ด้วย คือไร่ครูพรผักหวานป่า อยู่ที่วังด้ง ไปจากบ้านเราราว 30 กิโลเมตร ครูพรก็มีวิธีการของครูพร ไม่ได้ทำง่ายเหมือนนักปลูกป่า แต่ไม่ยากอย่างในหนังสือ ต้องมีการให้น้ำบ้างในช่วงแรกๆ

ครูพรปลูกไว้เต็มทั้งภูเขารอบบ้าน กึ่งธรรมชาติเลี้ยง กึ่งเลี้ยงดูบ้าง ทุกปีแกจะมีชาวบ้านเก็บเมล็ดจากในป่าสูงๆ รอบๆ บริเวณนั้นเอามาส่งให้ แกจะเพาะเอาไว้ปลูกเองบ้าง ขายต้นที่เพาะขึ้นแล้วในถุงดำบ้าง เราเอาแต่เมล็ดที่ชาวบ้านส่งมาให้แกกองๆ อยู่หลายกระสอบนั้นมาบ้าง ครูพรแบ่งให้มาราว 10 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 100 บาท เท่าที่รู้ ปลูกเมล็ดลงดินเลยจะดีกว่า ง่ายกว่า ได้ผลดีกว่าปลูกจากต้นอ่อนในถุงดำที่เขาเพาะขาย รากมันละเอียดอ่อนมาก หยั่งจากเมล็ดลงดินมีโอกาสรอดแข็งแรงดีกว่าย้ายจากถุงลงดิน รากกระทบกระเทือนนิดเดียวก็มีผล ชะงักงันหรือสูญเสียไปเลย

การจะปลูกเองจากเมล็ดก็มีสองแบบ คือเอาเมล็ดวางในหลุมเลย หรือเพาะเมล็ดพอแตกแล้วจึงเอาลงหลุม นายจักรเลือกวิธีหลัง เพราะมันง่ายต่อการให้น้ำก่อนจะงอก ถ้าเอาลงหลุมทั่วพื้นที่ก็รดน้ำกันยากกว่าจะขึ้น

เริ่มด้วยการเตรียมหลุมปลูกไว้ก่อน ขุดหลุมประมาณ 15X15 เซนติเมตร ลึก 20 เซนติเมตร ห่างกันตามต้องการ ผักหวานป่าเมื่อโตแล้วจะสูงมาก แต่ไม่ใหญ่ เป็นประเภทผอมสูง แต่ถ้าปล่อยให้สูงมากจะเก็บยอดลำบาก มักจะตัดเป็นพุ่มไม่ให้สูงนัก ปลูกระยะห่าง 3 เมตรน่าจะพอ ขุดหลุมแล้วก็เตรียมดิน ผสมทรายละเอียดกับดินที่ขุดขึ้นมาในอัตราส่วนทรายกับดิน 2:1 กองพักไว้ในหลุมสักครึ่งหลุมหรือกว่าเล็กน้อย ดินอีกส่วนรอไว้กลบเมล็ดตอนปลูก

เมล็ดที่ได้มาต้องแก่จัด มีทั้งที่ยังยังเขียวๆ และสีส้มๆ ทิ้งไว้สองสามวันเมื่อแก่จัดเป็นสีส้มสดเปลือกนิ่มๆ แล้วก็นำมาบีบเปลือกออก ขยำเนื้อให้หลุดออกให้มากที่สุด (ควรใส่ถุงมือยางเพราะบางคนถ้าแพ้ยางในเมล็ดของมันก็จะคัน) เกลี้ยงดีแล้วเปลือกจะยังเป็นสีส้มอ่อนๆ ล้างน้ำให้สะอาด

ผสมยากันเชื้อรากับน้ำยาเร่งรากพอประมาณลงในภาชนะที่จะแช่ นำเมล็ดที่ล้างสะอาดเตรียมไว้ลงแช่ในน้ำยาประมาณ 5 นาที แล้วเอาขึ้นวางผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามตากแดด) ราวๆ 2-4 วัน เมล็ดจะซึมซับยา และแห้งพอประมาณ ตอนนี้เมล็ดจะเป็นสีขาวขุ่น ระหว่างรอให้แห้ง ก็เตรียมแปลงเพาะ โดยเลือกพื้นที่ร่มใต้ต้นไม้ที่มีเงาแดดรำไร เททรายหยาบรองพื้นแปลงเพาะหนาสัก 4-5 นิ้ว วางเมล็ดที่แห้งเป็นสีขาวขุ่นแล้วลงให้ทั่ว อย่าให้ชิดกัน ให้ห่างกันสักครึ่งเซนติเมตร แล้วกลบด้วยทรายละเอียดหนา 2 นิ้ว

รดน้ำพอประมาณเช้าเย็น

ถ้ามีหมาแมวหรือสัตว์เลี้ยงคอยคุ้ยเขี่ย ก็หากิ่งไผ่ที่มีแขนงแหลมๆมาวางซ้อนไว้เฉยๆ พอไม่ให้คุ้ยเขี่ยได้

 

เมล็ดผักหวานที่สมบูรณ์จะโตขนาดหัวแม่มืออวบหนา กิโลหนึ่งราว 100 เมล็ด อาจกว่าเล็กน้อย เมล็ดเล็กหน่อยก็อาจถึง 120-130 เมล็ด

ลงแปลงเพาะได้สัก 4 วัน เปลือกก็จะเริ่มแตกปริ สัก 5-6 วันไปแล้ว ก็เริ่มแตกปุ่มเล็กๆ เพื่องอกเป็นราก ภายใน 7-10 วัน รากจะงอกออกมาราว 1 เซนติเมตร ถึง 1 นิ้ว ต้องค่อยๆ คุ้ยออกจากทรายไม่ให้กระทบกระเทือนรากเลยเป็นอันขาด ใช้น้ำใส่ถาดหรือใส่ภาชนะอะไรก็ได้ ช่วยให้เมื่อวางเมล็ดที่งอกรากแล้วลงไปได้โดยไม่เบียดเสียดกระทบกระเทือนกันเองจนรากช้ำหัก

ต่อจากนี้ก็เริ่มปลูก เริ่มด้วยรดน้ำลงหลุมที่ใส่ดินผสมทรายรองไว้ หาไม้ไผ่เหลาแหลมๆ เล็กๆ หรืออุปกรณ์อะไรก็ได้เสียบลงไปในดินในหลุมปลูกเพื่อให้สอดรากอ่อนๆ จากเมล็ดลงไปได้โดยไม่กระทบกระเทือนราก กดเมล็ดเบาๆ ให้ยุบลงไปจากหน้าดินเล็กน้อย ระวังรากอย่าให้หัก เกลี่ยดินกลบพอพ้นเมล็ด หลุมละ 3-5 เมล็ดตามต้องการ โรยใบไม้แห้งหรือใบไผ่ที่เรามีมากมายเตรียมกองไว้กลบปากหลุม แล้วรดน้ำอีกรอบ เพื่อให้ดินโอบรอบเมล็ด

ถ้าพื้นที่ปลูกมีแดดจัด ก็คงต้องตัดไม้ไผ่ผ่าทำเสา 4 มุมของหลุม ผูกสแลนกันแดด ถ้าแดดจัดมากไม่ป้องกันอาจไม่งอกเลย หรืองอกออกมาก็ยอดไหม้ ยังไม่โตก็ตายก่อน หรือไม่ก็โตช้ามาก

ระหว่าง 10-20 วันจากนี้ รากจะหยั่งลึกจนสุดแรงส่งของเมล็ด หลัง 20 วัน เมล็ดจะเริ่มแตกยอดอ่อน แล้วยอดนั้นจะดันเปลือกเมล็ดสูงขึ้นไปจนแห้งหลุดจากไป หมดสภาพของเมล็ด ตามวิถีทางธรรมชาติ

จน 30 วัน เมล็ดถูกสลัดออกจนหมดแล้วยอดอ่อนก็ผลิใบขึ้นมาแทนที่เต็มไปหมด

ถึง 45 วัน ต้นอ่อนจะเริ่มโตตามความสมบูรณ์ของแต่ละเมล็ด ตอนนั้นจะยาวราว 10 เซนติเมตร

พอ 90 วัน ต้นก็จะสูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

จากนั้นก็จะชะลอการเติบโตไปสักระยะ ต้นไหนที่เมล็ดสมบูรณ์ ผืนดินจุดที่รากหยั่งลงไปเป็นดินดีก็จะสูงขึ้นราว 30-40 เซนติเมตร เมื่อครบ 1 ปี

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงตัวเลขกลางๆ ในการปลูกแต่ละครั้ง การเติบโตของแต่ละหลุมปลูกจะแตกต่างกันมาก บางต้นเป็นปีๆ แล้วยังต้นนิดเดียว บางต้นไม่ถึงปีก็โตเอาๆ

ตามตำราทั่วไปบอกว่าใน 2-3 ปีแรก ผักหวานป่าจะขึ้นไม่สูงมากนัก จะลงลึกทางราก หลังจากนั้นลำต้นจึงจะค่อยๆ สูงขึ้นๆ พอ 3 ปีก็พอมียอดให้เก็บกินได้แต่ต้นยังเล็ก เก็บยอดบ่อยๆ ก็จะไม่โตสักที รอสัก 5 ปี จะเป็นต้นที่เติบโตแล้ว

 

เท่าที่ทดสอบปลูกนี้ ก็ถือว่าพอใช้ได้ อัตราการเกิดสูง แต่การรอดจนโตไม่สูงนัก เราไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไร แล้งไปบ้าง ร้อนไปบ้าง ไม่รอดก็มาก แต่ดูแล้วพอทำได้

หลังจากนั้นมาสามสี่ปี นายจักรเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลามาก เขาตกลงใจจะปลูกผักหวานป่าเป็นอาชีพเสริม

ณ ขณะนี้ ผ่านฤดูเก็บเมล็ดผักหวานป่าซึ่งมีออกในเดือนเดียว คือเดือนพฤษภาคมของทุกปี ปี 2564 หลังพฤษภาคม ที่ดินแปลงข้างล่าง 3 ไร่ ที่เคยปลูกผักชี ก็เต็มไปด้วยสแลน ผักหวานกระจายทั่วทั้งแปลง ใช้เมล็ดผักหวานไปเกือบ 30 กิโล ปลูกหลุมละ 5 เมล็ด เผื่อเลือก เผื่อตาย เผื่อดึงทิ้ง ฯลฯ

วันนี้ อาจินต์ไม่สามารถร่วมใจสนับสนุนให้กำลังใจใครๆ แล้ว

ที่ผ่านมา เวลาเก็บผักหวานได้ ตอนแรกๆ ก็จะเอามาให้อาจินต์ดู ยังมีรูปอาจินต์แทบอุ้มผักหวานทั้งตะกร้าไว้ในสองมือ

แต่อาจินต์ก็คงเห็น ถ้ายังเห็นได้ อาจินต์จะเห็นพืชพันธุ์เติบโตรายล้อมรอบบ้านเรา เห็นผักหวานทั้งแปลง

ได้กลิ่นดอกแก้วดกหอมรอบบ้านทั้งสองสลับกับกลิ่นชมนาดบนซุ้มที่เติบโตจนทับซ้อนกันหนาแน่น

หอมตลบอบอวลในหน้าแล้ง