ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

 

สถานการณ์ของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในขณะนี้ เข้ากับสุภาษิตไทย “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เรื่องเดือดร้อนเก่ายังไม่ทันหมด ก็มีเรื่องเดือดร้อนใหม่เข้ามาอีก

สำนวนชวนเสียวมีที่ไปที่มาจากสมัยก่อนนั้นชาวบ้านนิยมเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเพื่อใช้แรงงาน ซึ่งมักจะเกิดปัญหาวัวควายหายอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็มักจะไปแจ้งความปัญหาวัวควายหายกับผู้ใหญ่บ้าน กำนัน พอมีคนไปแจ้งว่าวัวหาย แต่ยังหาไม่เจอ และในเวลาไม่นานก็มีอีกรายเข้ามาแจ้งว่าควายหาย ทั้งๆ ที่วัวตัวเก่าก็ยังหาไม่เจอ กลับมีควายหายเป็นปัญหาเข้ามาให้ต้องแก้ไขอีก

จึงเป็นที่มาของสุภาษิต คำพังเพยที่ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” และได้รับความนิยมใช้เปรียบเปรยติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และถูกต้องตรงเป๊ะกับสภาพของ “บิ๊กตู่” ในขณะนี้

“ความวัว” ช่วงต้นปีเสือ 2565 ฟากฝั่ง “นิติบัญญัติ” สภาผู้แทนราษฎร หลับๆ ตื่นๆ นอนเกาสะดือ เดือนละแสนห้า สบายใจเฉิบ แต่สะกดคำว่า “คุณภาพ” กับเขาไม่เป็น “ล่ม” แล้ว “ล่ม” อีก ต่อเนื่องมา 3 ครั้งซ้อนในเดือนเดียว

จากสถิตินับแต่มีการเลือกตั้ง มี “ผู้แทนฯ” เข้ามาปฏิบัติภารกิจตามระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 “สภาล่ม” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 16 ครั้ง

ตามกลไกรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร บัญญัติว่า ที่ประชุมครบองค์ ต้องมี ส.ส.แสดงตน “อย่างน้อยกึ่งหนึ่ง” สภาชุดปัจจุบันมี ส.ส.ที่เหลืออยู่ยอดเต็ม 475 คน

แยกตัวเลขกลมๆ เป็นของซีกรัฐบาล 269 คน ฟากฝ่ายค้านจาก 8 พรรค จำนวน 210 คน “ครบองค์ประชุมเกินกึ่งหนึ่ง” ฝั่งถั่วต้องแสดงตนมากกว่า 238 คน เท่ากับฟากพรรคร่วมรัฐบาล มีฐานเสียงมากกว่าอยู่ราวๆ 40 เสียง เมื่อตัดยอดกลุ่ม “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” 21 รายที่ถูก พปชร.มีมติขับออกจากพรรค

แต่ปรากฏว่า ฝ่ายค้านเล่นเกม งัดสารพัดกลยุทธ์ทั้งไม่ยอมแสดงตน วอล์กเอาต์ กระตุกเสื่อ ซึ่งสามารถทำได้ ไม่ผิดกฎกติกาแต่ประการใด

ตรงกันข้าม การที่ปล่อยให้ “สภาล่ม” ซ้ำๆ ซากๆ ฝั่งรัฐบาลต่างหากเป็นฝ่ายเสียหาย ไม่สามารถผ่านกฎหมายสำคัญๆ ที่นำเสนอได้ เท่ากับว่า ผลงานไม่ปรากฏ สาเหตุที่สภาล่มบ่อย ชนวนเกิดจากพรรคร่วมขาดเอกภาพ

“วิปรัฐบาล” ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานให้ ส.ส.เข้าร่วมประชุม ฝีไม้ลายมือไม่เอาอ่าว คุมเกมไม่ได้ โดนเบี้ยวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมาแล้ว

เป็นกระจกเงาสะท้อนภาพ ไร้เสถียรภาพของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ส่ออันตรายสูงยิ่งว่า กรณีกฎหมายสำคัญที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี จอดป้ายตายคาเขียง มีมติไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรฉบับหนึ่งฉบับใด “บิ๊กตู่” และลูกข่ายต้อง “ลาออก” สถานเดียว

ปม “สภาล่ม” เป็น “ความวัว” ที่รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แก้ยากยิ่งกว่าหาทางขึ้นสวรรค์

 

“ความควายเข้ามาแทรก” ขณะสถานการณ์สภาผู้แทนราษฎรเละตุ้มเป๊ะ กำลังควานหาความสามัคคีปรองดอง เพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน จู่ๆ “ฝ่ายบริหาร” ก็เกิดภาวะตึงเครียด เมื่อจู่ๆ “ภูมิใจไทย” พรรคร่วมอันดับ 2 ไม่รู้ไปเสพดีหมีมาจากไหน

“เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แปลงร่างเป็น “พี่เสือ” นำทัพอีก 6 เสนาบดี เครือข่ายเดียวกัน ประกอบด้วย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา “ทรงศักดิ์ ทองศรี” รมช.มหาดไทย “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.เกษตรและสหกรณ์ “กนกวรรณ วิลาวัลย์” รมช.ศึกษาธิการ “วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล” รมช.คมนาคม รวมหัวกันบอยคอต

ด้วยการยื่นใบลาประชุม ครม.ผ่านรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ อย่างเป็นทางการ อ้างเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป บ้างก็เพิ่งเดินทางกลับจากราชการต่างประเทศ ต้องกักตัว บ้างก็อ้างติดภารกิจ นานาจิตตัง

แต่ชนวนหลักที่ 7 เสนาบดีภูมิใจไทย พร้อมใจกันติดดาบไม่ร่วมสังฆกรรมประชุม ครม.นัดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ข้ออ้างเพื่อป้องกันโควิด-19 ฟังไม่ขึ้น เพราะการประชุม ครม.แบบ “คอนเฟอเรนซ์” ใช้ภาพ-เสียงผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อม ไม่ได้มานั่งประจันหน้ากันแต่อย่างใด

กิจของภูมิใจไทยที่แท้จริง ที่ไม่ยอมเข้าร่วมประชุม เนื่องจากวันดังกล่าว ทาง “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่งเอกสารมาให้ดูชมก่อนล่วงหน้าว่า

จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี “เพื่อขอความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟสายสีเขียวของ กทม.” ในการขยายสัญญาสัมปทานให้กับบริษัทในเครือบีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี

จากกำหนดเดิมสิ้นสุดปี 2572 ถือไม้เท้ายอดทองไปจนถึงปี พ.ศ.2602 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้แสดงจุดยืนชัดเจนไม่เห็นด้วยมาตลอด

จนเป็นมรรคผลให้ข้อเสนอขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว 70 สถานี ระยะ 68 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย ล้มแล้วลุกมาแล้ว 3-4 ครั้ง “ภูมิใจไทย” ทุบ “มหาดไทย” ดัน ส่งเรื่องกลับมาพิจารณาต่อในที่ประชุม ครม.

ต่างฝ่ายต่างยกเหตุผล แล้วแต่ความเชื่อ ส่วนพี่น้องประชาชนจะได้-เสียประโยชน์กันมากน้อยแค่ไหน ยังไม่รู้ฝ่ายไหนผิดหรือถูก

รู้แต่ว่า การดับเครื่องชนของภูมิใจไทยในคาบนี้ “นายแน่มาก” เพราะเสถียรภาพของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ตีกรรเชียงเข้าซอยตันในบัดดล

การบอยคอตไม่ร่วมประชุม ครม. สวมบทจระเข้ขวางคลองในครั้งนี้ ที่บอกว่าแน่มาก เพราะรู้ทั้งรู้ว่า ขึ้นเขาต้องเจอเสือ

“บิ๊กตู่” จนแต้มแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก “ลาออก-ยุบสภา”

“ภูมิใจไทย” ก็พร้อมรับมือทุกกรณี

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่างหาก ที่ยังลัลล้า หาสนามบินลงยังไม่ได้ “พลังประชารัฐ” ไม่รู้จะเสนอชื่อชิงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ “พรรคใหม่” ที่ส่งลูกข่ายไปก่อตั้ง ก็ตั้งลำไม่ทัน

สรุป “ความวัว” ซีก “นิติบัญญัติ” ก็แก้ไม่ตก “ความควาย” ขั้ว “บริหาร” ก็ป่วนเสมอหน้า “บิ๊กตู่” หนักสุด-สุด