อดีตเลขาฯ สมช.อ่านเกมจุดจบประยุทธ์ วิเคราะห์สัมพันธ์ 3 ป. พร้อมประเมินหน้าตารัฐบาลใหม่/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

อดีตเลขาฯ สมช.อ่านเกมจุดจบประยุทธ์

วิเคราะห์สัมพันธ์ 3 ป.

พร้อมประเมินหน้าตารัฐบาลใหม่

บรรยากาศ+สถานการณ์การเมืองขณะนี้ กำลังนำไปสู่ปลายทางที่เป็นคำตอบเดียวชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอาจต้องพ้นจากตำแหน่งไป

แต่จะพ้นด้วยการลาออก การถูกขับไล่ออก หรือยุบสภา ต้องติดตาม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช.วิเคราะห์โดยชี้ว่า อนาคตการเมืองจากนี้ หลังจากมีหลายเหตุการณ์ที่เราเริ่มเห็นมีปัญหา อาทิ สภาล่ม แทบจะทุกครั้ง เพราะว่าเสียงรัฐบาลสั่นคลอนอย่างหนัก หลังจากกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก้าวออกไป การประชุมทุกหนจึงมีปัญหาและทำให้รัฐบาลไร้แต้มต่อ

ประเด็นถัดมาคือ การที่จะต้องมีการแก้กฎหมายสองฉบับที่เป็นกฎหมายลูกเพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญที่จะต้องมีการเลือกตั้งบัตรสองใบ คือ พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง นี่จะเป็นการบอกเหตุว่าอาจมีการเร่งรัดเพื่อให้เครื่องมือนี้สำเร็จ เพื่อที่จะไปใช้ในการเลือกตั้ง

รวมถึงปัจจัยการอภิปรายของฝ่ายค้าน การซักฟอกตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ แบบไม่ลงมติ ตรงนี้จะเปิดช่องให้ฝ่ายค้านนำสิ่งที่ไม่ดีของรัฐบาลทั้งหลายมาแฉ และเชื่อมั่นว่าน้ำหนักจะไปลงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นจุดที่จะถูกถล่มซ้ำซาก เพื่อให้เห็นว่าสภาพของประเทศวันนี้เกิดจากคนคนนี้

รวมถึงยังมีด่านที่รัฐบาลกังวลใจมากที่สุด คือ พ.ร.บ.งบประมาณ สุดท้ายสำคัญที่สุดคือ การเปิดสภาครั้งที่ 2 ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งฝ่ายค้านมีสิทธิที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบยกมือ แล้วตัวเลข ส.ส.ที่สับสนนี้เอง ทำให้เชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมตายเดี่ยว

จะนำไปสู่การยุบสภาในที่สุด

เสธ.แมวมองว่า ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์เหลือเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองและซื้อเวลาทางการเมืองได้ คือ มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่ 2 ที่ จึงสามารถเล่นแง่กับพรรคการเมืองได้ แต่ ณ สถานการณ์นี้แทบจะเป็นศูนย์ เพราะเมื่อเรามองที่คุณลักษณะของคนที่เป็น “ผู้นำ” จะต้องแสดงตนให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าเป็นคนมีเกียรติ เป็นสุภาพบุรุษ มีสัจจะ ไว้วางใจได้ แต่ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวเลย ไม่มีเครดิต

ประกอบกับเมื่อเราย้อนที่มาที่ไป ตอนที่ ร.อ.ธรรมนัสต้องหลุดพ้นจากตำแหน่ง ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ให้เกียรติกันเลย ตลอดเวลาที่นายกฯ ดำรงตำแหน่งไม่เคยให้เกียรติใครก่อนอยู่แล้ว แม้กระทั่งกับคนที่เคยค้ำจุนยังถูกทำแบบนี้ จึงทำให้ยากที่เดินต่อไปได้

หากเราได้ฟังการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ ร.อ.ธรรมนัส ก็ชัดเจนว่าจะสนับสนุนคนที่มีเคมีตรงกันเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พฤติการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ที่ปฏิบัติต่อกันแบบนี้ก็เป็นคำตอบอยู่แล้วว่าเคมีไม่ตรงกัน

ตอนนี้จึงเป็นเรื่องของการรอจังหวะเท่านั้น เพื่อให้อะไรเข้าที่เข้าทาง ให้ ส.ส.ที่ไปอยู่พรรคใหม่ชัดเจน ปลายทางที่บางฝ่ายมองว่าจะต่อรองกันได้ จึงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน

ตอนนี้รอเพียงแต่สถานการณ์ที่จะกดดัน ทำให้นายกรัฐมนตรีคนนี้พ้นจากตำแหน่ง

 

อดีตเลขาฯ สมช.มองว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนปากกล้า ขาสั่น หากวิเคราะห์ตามนิสัยตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา จะเป็นคนที่ผูกใจเจ็บ อาฆาตมาดร้ายคนที่เป็นปรปักษ์กับตนเอง เมื่อมองลึกๆ จะพบว่าเป็นนิสัยส่วนตัว เพราะถ้าไม่ใช่นิสัยนี้จะไม่ทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองเกิดขั้วขัดแย้งต่างๆ ในสังคมมากมายแบบนี้

ถ้าผู้นำมีลักษณะประนีประนอม ฟังเหตุฟังผล บ้านเมืองจะไม่มาถึงจุดนี้ แต่เพราะยังติดอยู่ในเรื่องการแบ่งขั้วแบ่งข้าง ไม่ให้อภัย แต่ตนเองจะพูดตลอดว่าให้เกียรติคน เป็นสุภาพบุรุษ ย้อนอดีตมาตั้งแต่เพลงเราจะทำตามสัญญาจนยกเลิกเพลงออกไปเป็นตัวบอกผลอยู่แล้ว

ส่วนเวลาที่เหลืออยู่ในตำแหน่ง ปลายทางที่ช้าที่สุดจะไปจบที่เดือนพฤษภาคม จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 จะเป็นจุดที่เดินต่อไปไม่ได้ แต่โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก่อนระยะเวลาที่กำหนดก็มี จึงฟันธงได้เลยไปต่อไม่ได้แล้ว และจะต้องพ้นจากตำแหน่ง เพียงแต่ว่าจะพ้นแบบไหน ลาออก ยุบสภา หรือถูกขับไล่

ขณะที่มองไปที่พี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวได้เต็มปากว่า เป็นนักการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เป็นคนที่มีมิตรมาก ฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดกับตัว พล.อ.ประวิตรจากหนักจะกลายเป็นเบา สามารถออกห่างจากการเมืองได้โดยเจ็บตัวน้อยหรือไม่เจ็บตัวเลย

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยังไงก็ต้องพ้นและเจ็บตัวพอสมควรเนื่องจากมิตรน้อยมีแต่ศัตรู โดยที่เราไม่ต้องพูดถึงฝ่ายการเมืองเลย พล.อ.ประยุทธ์จะถูกเช็กบิลจากภาคประชาชนและภาคประชาสังคมมาก ฝ่ายการเมืองแทบไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นโจทย์ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เสียสิทธิเสรีภาพอย่างมหันต์

เพียงแต่ ณ ตอนนั้นประชาชนไม่สามารถที่จะไปดำเนินคดีหรือเอาผิดได้เพราะยังมีองคาพยพเกื้อกูลอยู่ แต่ถ้าการเมืองเปลี่ยน ประชาธิปไตยมาแรง พัฒนาการเริ่มดีขึ้น กลไกต่างๆ ในเรื่องความยุติธรรมมีความเที่ยงธรรม มีความเป็นธรรม ณ เวลานั้นเมื่อพี่น้องประชาชนมาร้องโทษกล่าวทุกข์หรือมีกระบวนการบังคับที่จะเข้าแก้กฎหมาย เข้ารายชื่อร่วมกัน ตอนนั้นจะเกิดผลสัมฤทธิ์

เมื่อเกิดผลสัมฤทธิ์แล้ว จะทำให้ประชาชนเป็นโจทก์โดยตรงที่จะย้อนรอยกลับมาดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้

 

พล.ท.ภราดรยืนยันอีกว่า ถ้ามีการยุบสภาหรือลาออก แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ สมัยสองของ พล.อ.ประยุทธ์คิดว่าไม่มีโอกาสแล้ว ปิดประตูตายได้เลย เพราะถ้าเราดูบรรยากาศเสียงสะท้อนต่างๆ อาจจะมีพรรคพลังประชารัฐกลุ่มน้อยสื่อสารอยู่ว่าจะชูท่าน พรรคใหม่ที่เห็นไปก่อตั้ง พลังเท่ากับเป็นศูนย์ เพราะถ้าเราดูคนที่เคลื่อนไหวแล้วไปอยู่ในพรรคนั้น ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้แทนฯ เลย แล้วก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะได้เป็นผู้แทนฯ รวมถึงไม่มีศักยภาพที่จะไปเอื้อให้ผู้อื่นเข้ามาในพรรคแล้วจะได้เป็นผู้แทนฯ ฉะนั้น เป็นแค่เพียงการสร้างกระแสขึ้นมาทดสอบดูเท่านั้น

ส่วน “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา กับบทบาทใหม่ที่เข้ามาในการเมือง มองว่าความเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ ความไว้วางใจเข้ามาเพื่อบรรเทาสถานการณ์ได้ แต่เราก็ต้องยอมรับว่า พล.อ.วิชญ์ไม่ได้อยู่ในวงการการเมืองที่เปิดแบบตรงๆ ฉะนั้น กระแสการตอบรับก็ยังไม่เพียงพอกับในภาวะที่จะมาเป็นผู้นำ

แม้กระทั่งตอนนี้พรรคใหม่ของ ร.อ.ธรรมนัสก็ยังไม่มั่นใจว่าสุดท้ายจะได้เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ แต่ความร่วมมือกันยังคงมีแน่ แต่บทบาทการเป็นผู้นำต้องรอติดตามต่อไป

ขณะที่ความสัมพันธ์ของ 3 ป.ตอนนี้เป็นเหมือนภาพของละคร คล้ายๆ ความสัมพันธ์ในระดับพี่น้องยังมีอยู่ แต่พลังของความสัมพันธ์ในการมาดำรงความร่วมมือทางการเมืองและให้การเมืองอยู่รอดนั้นไม่มีอีกแล้ว

ต่างฝ่ายต่างต้องแยกตัวออกไป

จริงๆ พลังทางการเมืองที่เกาะเกี่ยวอยู่ได้ เกิดจาก พล.อ.ประวิตร แต่ ณ สถานการณ์นี้ พล.อ.ประวิตรเห็นว่าหากไปเกาะแขน พล.อ.ประยุทธ์ไว้จะพังไปด้วยกันทั้งหมด จึงต้องทิ้งเรือแบบมีศิลปะ ให้มีความแยบยล ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดจากการที่มีการหลุดปากมาว่าพรรคที่เกิดใหม่ก็พรรคของตนเองทั้งนั้น

สำหรับทางลงที่ดีที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์คือการลาออก เพราะการลาออกเป็นการแสดงความรับผิดชอบของตัวตนเองอย่างชัดเจน และให้องคาพยพที่เหลือใช้กลไกทางประชาธิปไตยแก้ไขไปเป็นขั้นตอน ทำให้การแก้ไขสถานการณ์ดูราบรื่น ดีว่าที่ยุบสภาในลักษณะที่กฎหมายลูกยังไม่เสร็จมันก็ไปต่อได้ แต่ทำให้เกิดการฉุกละหุกไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

สิ่งที่ควรแสดงหรือสปิริตคือการลาออกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

 

ปิดท้าย พล.ท.ภราดรประเมินการเลือกตั้งครั้งหน้า ภาพที่จะได้เห็นคิดว่าหลายฝ่ายประเมินตรงกันชัดเจนจากกฎกติกาข้อบังคับและกระแสทางการเมือง พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเป็นพรรคหมายเลข 1 อย่างแน่นอน

ส่วนพรรคที่ 2 อย่าปฏิเสธพรรคก้าวไกลที่ยังมีโอกาส หรือพรรคทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ปีกพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ 2 ยังมีอยู่บ้าง ต้องดูการต่อสู้กันระหว่างก้าวไกล และโอกาสแลนด์สไลด์ เพื่อไทยยังมีอยู่ เพราะว่าจากพฤติกรรมการบริหารบ้านเมืองแบบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแรงจูงใจที่ประชาชนอยากจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วๆ มองเห็นแล้วว่าถ้าไม่เปลี่ยนเร็วและแรงจะแก้ไขไม่ได้ และต้องมาช่วยกันลงคะแนนให้ชนะขาดลอยไปเลย ถึงได้เกิดภาพที่ชัดเจนในการบริหารราชการแผ่นดินตรงใจพี่น้องประชาชน

และยังยืนยันชัดเจนคำเดิมว่าหน้าตารัฐบาลชุดหน้า จะตรงข้ามกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน

ฉะนั้น บรรยากาศของการคลี่คลายแก้ปัญหา สถานการณ์บ้านเมืองมันจะไปได้ เพราะว่าพรรคตรงข้ามรัฐบาลค่อนข้างจะรับฟังเสียงพี่น้องประชาชน มีความเป็นประชาธิปไตยสูง มีการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และจะทำให้ประเทศฟื้นตัวขึ้นมา

ชมคลิป