ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มกราคม 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
จักรกฤษณ์ สิริริน
ทำไม ‘ญี่ปุ่น’ ถึง ‘คว้าแชมป์’
มือปราบ COVID-19
ได้ชื่อว่าเป็น “ประเทศต้นแบบ” ในเกือบทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ระเบียบ วินัย ไปจนกระทั่งถึงเลือดนักสู้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสอง-เกือบสามปีที่ผ่านมา ที่โลกได้เผชิญหน้ากับปัญหา COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความห่วงกังวลเรื่องสุขภาพ
ควบคู่กับความห่วงกังวลทางสังคม ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาการเข้าถึงวัคซีน COVID-19
ที่ทุกประเทศประสบปัญหาเดียวกันทั้งหมดทุกชาติ!
และแม้ “ญี่ปุ่น” จะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีน แต่ต้องยอมรับว่า “ญี่ปุ่น” มีความสามารถในการสรรหาวัคซีน COVID-19 มาให้ประชาชน
ชนิดที่เรียกได้ว่า “ญี่ปุ่น” สามารถสร้าง Herd Immunity หรือ “ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้เป็นชาติแรกๆ เลยทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดหาวัคซีน COVID-19 อันดับหนึ่งของโลกเสียด้วย นั่นคือ Pfizer
ที่ “ญี่ปุ่น” แทบไม่มองวัคซีนตัวอื่น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านวัคซีนของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลนั้น “ค่อนข้างสูง”
ซึ่งแม้ในความเป็นจริง กรณีดังกล่าว อาจจะสร้าง Herd Immunity หรือ “ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้ช้ากว่าแผนที่วางไว้ ทว่า ผลในทางจิตวิทยามีสูงมาก
เรียกได้ว่า เป็นการบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพ และชาญฉลาดมาก
นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนพูดกันว่า “ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับ COVID-19 มากที่สุดในโลก”
แม้จะเริ่มต้นฉีดวัคซีน COVID ล่าช้า จากเหตุผลที่ว่า “ญี่ปุ่น” รอให้ผลการวิจัยวัคซีนเกิดความแน่นอนเสียก่อน!
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้จะมีคำถามตัวโตๆ ที่ “ญี่ปุ่น” ต้องเผชิญ ในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ว่าเหตุใด “ญี่ปุ่น” จึงไม่สร้างวัคซีน COVID-19 ของตัวเอง?
มีเหตุผล 3 ข้อที่พยายามอธิบายกันก็คือ “ญี่ปุ่น” ดีดลูกคิดแล้วว่า ตลาดวัคซีน COVID-19 ภายในประเทศมีจำกัด ดังนั้น “ซื้อ” จึงคุ้มกว่า “ทำเอง”
ซึ่งนำไปสู่สาเหตุประการที่ 2 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างวัคซีนเองก็คือ “ทุนวิจัย” ที่ “มีไม่เพียงพอ”
เพราะหากพิจารณาเม็ดเงินในการวิจัย mRNA ที่มีมากกว่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับ “ญี่ปุ่น” ที่วางไว้เพียง 1,200 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
และเหตุผลข้อสุดท้าย ที่ต้องถือว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย กล่าวคือ “ญี่ปุ่น” ไม่ใช่ชาติที่เคยเผชิญหน้ากับโรคระบาดใหญ่มากนัก
ทำให้การสั่งสมเทคโนโลยีวัคซีนของตนเองมีไม่เพียงพอ
ย้อนกลับไปในช่วงโอลิมปิก 2021 ซึ่ง COVID-19 ได้ระบาดหนัก มี “ชาวญี่ปุ่น” เสียชีวิตหลัก 100 ต่อวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวนมากในโรงพยาบาลจนเตียงแทบจะไม่พอ
ทว่า หลังจากที่ “ญี่ปุ่น” แน่ใจในวัคซีน Pfizer ที่สั่งซื้อมา ก็เริ่มเดินหน้าระดมฉีดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ลดลงอย่างฮวบฮาบ
จากหลัก 100 เหลือ “ต่ำกว่า 1 คนต่อวัน” ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมาก! เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั้งประเทศ 127 ล้านคน!
เหตุผลที่คนพูดกันว่า “ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับ COVID-19 มากที่สุดในโลก” มาจากปัจจัยสอง-สามประการ
ปัจจัยแรก ซึ่งสำคัญที่สุด ดังที่กล่าวไปแล้วก็คือ “ญี่ปุ่น” สร้าง Herd Immunity หรือ “ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้อย่างรวดเร็ว
พูดอีกแบบก็คือ ประชาชน “ชาวญี่ปุ่น” กว่า 80% ฉีดวัคซีน Pfizer ครบ 2 โดสแล้วอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความที่ “วัฒนธรรมญี่ปุ่น” ไม่ว่าจะเป็นขนบ-ธรรมเนียม-ประเพณี ที่ “คนญี่ปุ่น” ไม่ใช้ “วิธีทักทาย” ด้วยการ “จับมือ-กอด-จูบ”
เพราะ “ชาวญี่ปุ่น” เป็นคนที่รักษาความ “นิ่ง” ณ ที่สาธารณะ ในระดับ “วัฒนธรรม”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมไม่นิยมส่งเสียงดังในที่สาธารณะ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการแพร่ระบาดของ COVID-19
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทั่วโลกจะทราบดี ว่าการตะโกนโหวกเหวกโวยวายต่อหน้าธารกำนัล เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้เชื้อ COVID-19 แพร่กระจาย
ทว่า ในส่วนของการนำไปปฏิบัติจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายในหลายประเทศ เนื่องจากวัฒนธรรมของหลายท้องถิ่น ไม่เอื้อให้ปฏิบัติเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าว ไม่สามารถนำมาตอบคำถามลึกๆ ว่าเหตุใด บ้านใกล้เรือนเคียงของ “ญี่ปุ่น” อย่าง “เกาหลีใต้” ซึ่งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันมาก จึงยังต้องต่อสู้กับการระบาดระลอกใหม่ที่เลวร้ายที่สุด?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระเบียบ” และ “วินัย” ของ “คนญี่ปุ่น” ที่ทุกคนยังคงสวม “หน้ากากอนามัย” อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่ารัฐได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 ลง
ทว่า “ชาวญี่ปุ่น” ก็ยังคงรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด!
อีกเหตุผลสำคัญก็คือ “สภาวะโภชนาการ” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก “วัฒนธรรมอาหาร” ที่ “ญี่ปุ่น” นิยมทานปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ทำให้ “ญี่ปุ่น” เป็นประเทศที่มีอัตราคนเป็น “โรคอ้วน” ต่ำมาก
ซึ่งสอดคล้องต้องกัน กับงานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมาก ที่ชี้ว่า อาการป่วยจาก COVID-19 จะรุนแรงมากในกลุ่มคนอ้วน
อีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะมีความซับซ้อน ทว่า ก็อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ “ญี่ปุ่น” สามารถคว้าแชมป์ปราบ COVID-19 ได้
นั่นก็คือ ว่ากันว่า “คนญี่ปุ่น” มีลักษณะทางพันธุกรรม ที่สัมพันธุ์กับการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดช่วยต่อสู้กับ COVID-19
ถึงขนาดมีการคาดการณ์กันว่า COVID-19 ที่ระบาดใน “ญี่ปุ่น” นั้น อาจจะกลายพันธุ์ และลดความรุนแรงลง จนกระทั่งไปจนสูญพันธุ์ไปเอง
ปัจจัยสุดท้าย เมาธ์กันว่า เป็นเพราะ “ญี่ปุ่น” มีอัตราการตรวจหาเชื้อน้อย ทำให้หลายฝ่ายข้องใจตัวเลขที่ “ญี่ปุ่น” สะท้อนออกมาในสถานการณ์ COVID-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ช่วงพีก”
ยิ่งเมื่อเทียบกับ “เกาหลีใต้” แล้ว ก็ยิ่งชัดว่า ช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา “ญี่ปุ่น” ตรวจหาเชื้อ COVID-19 เฉลี่ยเพียง 45,000 คนต่อวัน
ในขณะที่ “เกาหลีใต้” ซึ่งมีประชากร “ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง” ของ “ญี่ปุ่น” ประชาชน “เกาหลีใต้” กลับได้รับการตรวจหาเชื้อโดยเฉลี่ยมากถึง 250,000 คนต่อวัน
ทางฝ่าย “ญี่ปุ่น” โต้แย้งว่า การตรวจหาเชื้อไม่ใช่สาเหตุหลักของปัญหาแต่อย่างใด
เนื่องจากดัชนีชี้วัดตัวอื่นๆ ไม่ขยับตาม ไม่ว่าจะเป็นยอดผู้รักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดการเสียชีวิตจาก COVID-19 หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งควรจะพุ่งสูง
ทว่า ยอดผู้ป่วย หรือยอดคนตาย กลับไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด
นี่จึงเป็นเหตุผลที่มัดรวมได้ว่า ขณะที่เกือบทุกประเทศในโลก กำลังต่อสู้กับ “ช่วงพีก” ของ COVID-19 แต่ประชากร “ชาวญี่ปุ่น” แทบจะไม่มีผลกระทบจาก COVID-19 เลย!
แม้จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า เคล็ดลับอะไรกันแน่ ที่ทำให้ “ญี่ปุ่น” ประสบความสำเร็จ เป็น “แชมป์ปราบ COVID-19”
แต่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่า อย่างไรเสีย “ญี่ปุ่น” ก็จะต้องเตรียมการรับมือกับการระบาดระลอกใหม่ในช่วงฤดูหนาวนี้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอุบัติขึ้นของ COVID-19 กลายพันธุ์ตัวล่าสุด หรือ Omicron
ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทางการ “ญี่ปุ่น” ได้ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron คนแรกของประเทศ
แม้จะเป็นเพียงการแพร่เชื้อภายในชุมชนก็ตาม
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ผู้ที่ตรวจพบ Omicron หลายคนใน “ญี่ปุ่น” นั้น มีรายงานว่า แทบทุกคนไม่มีประวัติการเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนเลย!