นักสืบอินเตอร์เน็ต ล่าความจริงและยอดวิว/Cooltech / จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cooltech / จิตต์สุภา ฉิน

 

นักสืบอินเตอร์เน็ต

ล่าความจริงและยอดวิว

 

วิดีโอประเภทรีวิวสินค้า ฮาวทู บันเทิง ตลกขบขัน เป็นประเภทของวิดีโอที่ครองอันดับต้นๆ ของวิดีโอยอดฮิตบน YouTube ที่คนทั่วโลกคลิกเข้าไปดูมากที่สุด

แต่ในขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งของ YouTube ก็มีคอนเทนต์วิดีโอแบบที่เข้าขั้น “นิช” ที่ไม่ได้หาดูได้ทั่วไป คนทำเองก็ทำไม่ได้บ่อยๆ แต่ก็เป็นประเภทของวิดีโอที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ

หนึ่งในวิดีโอเฉพาะกลุ่มที่ว่าก็คือกลุ่มที่ถูกเรียกว่า sleuth หรือ “นักสืบ” ประจำอินเตอร์เน็ต

หากคุณผู้อ่านได้เห็นข่าวผ่านตามาบ้างก็น่าจะคุ้นๆ ว่าในช่วงสักสามสี่ปีที่ผ่านมา มีกรณีที่ YouTuber หรือคนทำวิดีโอบน YouTube ใช้ทักษะฝีมือในการสืบ เสาะ เจาะ ค้น เพื่อตามหาตัวคนหายมาได้แล้วหลายต่อหลายเคส ส่วนใหญ่จะเป็นคดีคนหายในต่างประเทศที่หายไปนานระดับสิบปีขึ้นไป

และการหาตัวพบที่ว่าก็คือการพบศพซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยสมาชิกคนอื่นในครอบครัวให้หลุดพ้นจากการรอคอยการกลับมาด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ

 

คดีล่าสุดที่ได้รับการคลี่คลายไปก็คือคดีการหายตัวของวัยรุ่นอเมริกันวัย 21 ปีสองคน ที่มีชื่อว่า Erin Foster และ Jeremy Bechtel ทั้งคู่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2000 หรือราว 21 ปีก่อนในมลรัฐเทนเนสซี

คดีนี้ตำรวจไม่สามารถคลี่คลายได้ทำให้ครอบครัวไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องบอกตัวเองว่าทั้งคู่อาจจะแค่หนีตามกันไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง

เรื่องมาพลิกผันเมื่อมี YouTuber คนหนึ่งที่อุทิศตนให้กับการตามหาคนหายโดยเฉพาะเกิดสนใจคดีนี้ขึ้นมาตอนที่เขาไล่ดูฐานข้อมูลคนหาย

Jeremy Sides เจ้าของแชนแนล Exploring with the Nug บน YouTube บอกว่าทันทีที่เขาเห็นว่าเป็นคดีที่วัยรุ่นสองคนหายไปพร้อมรถหนึ่งคันก็ทำให้เขารู้สึกฉุกใจขึ้นมาจึงเปิดดูแผนที่เพื่อศึกษาภูมิศาสตร์ของเมืองที่ทั้งคู่หายตัวไปและพบว่ามีแม่น้ำขนาดใหญ่พาดผ่านอยู่สายหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปที่นั่นทันที

ฉันนั่งดูคลิปวิดีโอ 20 นาทีของเขาแบบไม่ละสายตาไปมองอย่างอื่นเลย เขาเลือกค้นหาทั้งหมด 3 จุดโดยพิจารณาจากความเป็นไปได้ว่าเป็นบริเวณที่ทั้งคู่แวะเวียนไปบ่อยๆ และอาจจะประสบอุบัติเหตุรถยนต์ตกลงไปในน้ำได้

วิธีค้นหาที่เขาใช้ก็คือการขับเรือไปรอบๆ เพื่อสแกนสิ่งที่อยู่ใต้น้ำด้วยการใช้คลื่นโซนาร์และดูผลจากบนจอ

เนื่องจากเป็นการทำงานด้วยตัวเองคนเดียวล้วนๆ ทั้งขับเรือ ทั้งดูจอ และทั้งพูดกับกล้อง ประกอบกับแม่น้ำที่ค้นหาก็มีขนาดใหญ่มากทำให้ภารกิจการตามหาคนหายครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

Jeremy คว้าน้ำเหลวในสองจุดแรก แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นสิ่งที่คล้ายรถยนต์ปรากฏขึ้นมาบนจอโซนาร์ จึงทำสัญลักษณ์เพื่อระบุจุดเอาไว้และกลับมาใหม่ในวันถัดไป

Jeremy ดำน้ำลงไปและพบว่าเป็นรถคันเดียวกัน เขาแกะป้ายทะเบียนออกมาเพื่อใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ วินาทีที่รถเครนยกรถยนต์ของทั้งคู่ขึ้นมาจากผิวน้ำช่างกระชากใจคนดูและชวนให้รู้สึกขนลุกไปด้วยความทั้งดีใจและเศร้าใจปะปนกันอย่างบอกไม่ถูก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่คลิปนี้จะคว้ายอดวิวหลักล้านไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Jeremy ปฏิบัติภารกิจตามหาคนหายได้สำเร็จ และเขาก็ไม่ใช่แชนแนลเดียวบน YouTube ที่ทำคอนเทนต์ประเภทนี้ด้วย

Chaos Divers เป็นอีกหนึ่งแชนแนลที่มีภารกิจแบบเดียวกัน พวกเขาบอกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาสามารถตามหาร่างของคนหายได้แล้วมากถึง 7 คน บางคลิปญาติของผู้ที่สูญหายก็เข้ามาคอมเมนต์ขอบคุณที่เขาทำให้ครอบครัวได้ค้นพบความจริงในที่สุด

ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ทำแบบนี้เพราะต้องการจะเรียกยอดไลก์หรือยอดผู้ติดตามบน YouTube

แต่รางวัลที่พวกเขาได้รับกลับมาก็คือการได้บอกความจริงกับครอบครัวที่แม้จะโศกเศร้าแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก

แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าคอนเทนต์ที่กระทบอารมณ์ผู้ชมแบบนี้ก็จะต้องสร้างรายได้ให้กับคนทำคลิปไม่น้อย

นักสืบอินเตอร์เน็ตที่ไขคดีผ่านจอคอมพิวเตอร์โดยตัวเองนั่งอยู่บนโซฟาที่บ้านเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่อินเตอร์เน็ตตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

แต่การไขคดีโดยไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมอย่างถูกต้องก็อาจจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างหลากหลายได้ บางคดีก็จบลงด้วยดี

ในขณะที่บางคดีนอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายได้แล้วก็ยังทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมาได้

ตัวอย่างความเสียหายจากฝีมือของนักสืบบนอินเตอร์เน็ตก็อย่างเช่นคดีของ Elisa Lamb ที่ถูกพบเสียชีวิตอยู่ในแท็งก์น้ำบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Cecil Hotel ในปี 2013

สารคดีบน Netflix ทำให้เราได้เห็นว่าความพยายามของนักสืบอินเตอร์เน็ตในการที่จะค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Elisa ได้ทำให้อนาคตของศิลปินคนหนึ่งพังทลายไปเพียงเพราะเขาอยู่ผิดที่ผิดเวลาและมีบุคลิกที่แตกต่างจากคนทั่วไป แม้ว่าในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย แต่ผลกระทบที่ได้รับก็เกิดขึ้นไปแล้วในแบบที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้

หรือในปี 2013 ที่นักสืบอินเตอร์เน็ตทำให้นักศึกษาผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องแปดเปื้อนมลทินด้วยการไปกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดที่คร่าชีวิตคนไป 3 คนในการแข่งขันบอสตัน มาราธอน

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือนักสืบอินเตอร์เน็ตก็ดูเหมือนจะปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างกรณีของ Jeremy Sides เขาไม่ได้ลงมือโดยพลการ แต่มีการติดต่อพูดคุยกับนายอำเภอของเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างใกล้ชิด Jeremy เคยค้นหามาแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่พบ ซึ่งตำรวจประจำเมืองเองนี่แหละที่เป็นคนติดต่อไปบอกเขาว่าเขาค้นหาไม่ถูกจุด และยังให้คำแนะนำกับเขาด้วยว่าควรจะไปค้นหาที่ไหน

หรือกรณีของ YouTuber สาวชื่อ Gabby Petito ที่หายตัวไปในปีนี้ นักสืบอินเตอร์เน็ตก็มีส่วนช่วยในการให้เบาะแสและทำให้ตำรวจตามหาร่างของเธอจนพบ

 

อันที่จริงแล้วการมีอยู่ของนักสืบอินเตอร์เน็ตนั้นก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องแย่เสมอไป แทนที่จะทำงานด้วยการถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเบาะแสหรือทฤษฎีที่คิดขึ้นมาเองจนทำให้ตำรวจไขว้เขวและเสียเวลา ก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นการทำงานแบบเสริมกำลังให้ตำรวจแทน

คดีที่เหมาะสมที่สุดที่จะขอใช้กำลังเสริมของนักสืบอินเตอร์เน็ตมืออาชีพก็คือคดีเย็นที่เกิดขึ้นมานานแล้วและยังไม่สามารถปิดคดีได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่นคนที่หายตัวไปนานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ในขณะที่คดีแบบที่กำลังเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ และยังมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอาจจะไม่ใช่คดีที่เหมาะที่สุดที่จะเปิดทางให้ใครก็ได้เข้ามาช่วย เพราะอาจมีความเสี่ยงในการที่นักสืบอินเตอร์เน็ตจะทำให้หลักฐานเสียหาย หรือนำพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่อาจเกิดอันตรายได้

และสำคัญสุดๆ ก็คือนักสืบอินเตอร์เน็ตต้องระวังไม่เอายอดวิวมาเป็นตัวตั้งด้วย

หากรู้จักหาส่วนผสมที่ลงตัวได้ก็คงมีอีกหลายครอบครัวที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้เสียที