เปิดใจ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ยืนหยัดต่อสู้ทหาร กับแผลในใจคราวเห็นต่างประชามติอัปยศ/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ / พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

เปิดใจ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์

ยืนหยัดต่อสู้ทหาร

กับแผลในใจคราวเห็นต่างประชามติอัปยศ

 

“ไม่นานหรอกค่ะ กงล้อประวัติศาสตร์จะหมุนกลับมา แล้ว ณ วันนั้น ท่านจะไม่มีแผ่นดินในโลกนี้ที่จะอยู่จริงๆ” ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงอนาคตการเมืองไทยภายใต้ระบอบประยุทธ์

ทัศนีย์มองว่า จากเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จริงใจออกมาฟังเสียงประชาชนตั้งแต่ต้น คิดว่าความขัดแย้งจะไม่ดำเนินมาถึงวันนี้ มันจะได้รับการแก้ไขแต่แรก แต่คุณประยุทธ์ไม่ได้ออกมารับฟังเสียงของประชาชนเลย แถมเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ว่าเก่งทุกอย่าง ดีทุกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ท่านเดินไปไม่ได้หรอก เดินอย่างไรความขัดแย้งก็จะเพิ่มขึ้นๆ วันหนึ่งท่านจะไม่มีแผ่นดินอยู่จริงๆ ไม่มีประเทศไหนที่จะรับเหตุการณ์ที่ทำร้ายประชาชนที่เห็นต่างได้

ถึงวันนั้น ท่านลี้ภัยก็ไม่ได้หรอก เพราะไม่มีประเทศไหนที่จะรับคนที่อาจจะเป็นผู้สั่งการได้จริงๆ

ดิฉันอยากเตือนท่านด้วยความหวังดีจริงๆ นี่หวังดีจากใจจริงๆ ไม่มีอคติเป็นการส่วนตัวกับท่านเลย ไม่มีจริงๆ

แต่อยากให้ท่านกลับมาเป็นผู้แก้ไขปัญหา เพราะเมื่อใครเป็นคนเริ่มต้นปัญหา คนนั้นต้องกลับมาเป็นผู้แก้ด้วย

สำหรับทางออกของประเทศทัศนีย์บอกว่าเร็วที่สุดตอนนี้ จริงๆ ก็คือ พวกท่านปิดประตูไปแล้วในการที่จะเอาร่างรัฐธรรมนูญประชาชนมาแก้ไข ถ้าเพียงท่านรับหลักการไปก่อน ทางออกประเทศเราก็จะสามารถมีทางออกได้ แต่มาวันนี้ ท่านปิด ทางออกเดียวที่ท่านเหลืออยู่ โดยเฉพาะตัวคุณประยุทธ์ ท่านต้องมาคุยกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ท่านต้องมาคุยว่า 1.อย่างน้อย ท่านปล่อยผู้ถูกจำคุกในคดีการเมืองออกมาก่อน แล้วให้เขาออกมาต่อสู้คดีข้างนอก เพื่อเป็นการลดบรรยากาศของความรุนแรง เพราะเพียงแค่เขามีความคิดเห็นต่างเท่านั้น ท่านคุมขังเขา ดิฉันทราบดี รับรู้ความรู้สึกนี้ดี ท่านอย่าลืมในเรื่องสิทธิมนุษยชน เมื่อศาลยังไม่ตัดสินว่าเขาผิด เขามีสิทธิสู้คดี

2.ในด้านจิตใจของผู้ถูกคุมขังอันหนึ่ง แล้วก็จิตใจของครอบครัวเขา อันนี้สำคัญ เพราะดิฉันเคยโดนเอง จิตใจของครอบครัวแย่ไปหมด โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งสูงอายุแล้วด้วยซ้ำ สภาพจิตใจที่ไปเยี่ยมลูกสาวแล้วมีกรงกั้น เราสามารถแค่แตะมือกันผ่านกระจกที่มีกรงอีก ท่านเอาผู้ต้องหาที่ท่านจับไว้ในเรือนจำออกมาก่อน แล้วนายกฯ ประยุทธ์ออกมารับฟังความคิดเห็น

ส่วนตัวเคยได้ไปรับฟังกลุ่มม็อบ ที่มีผู้ทำวิจัย ว่าคนที่เขามาชุมนุม เขาไม่ต้องการก่อความรุนแรงหรือก่อเรื่อง แต่อย่างน้อยเขาต้องการให้ผู้นำออกมาคุยกับเขาว่าเขามาชุมนุมเพราะอะไร บางคนก็เป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะยิ่งมีโควิดออกมา เศรษฐกิจประเทศไทยแย่มาก บางคนเป็นปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยเราติดอันดับหนึ่งของโลก

เพราะฉะนั้น อันแรก จะคลี่คลายการเมืองได้ตอนนี้ คุณประยุทธ์ คุณออกมารับผิดชอบเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น คุณต้องออกมารับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้วปล่อยนักโทษการเมืองออกมาก่อน ดิฉันคิดว่าจะเป็นการลดความขัดแย้งทางการเมืองขั้นแรกก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นเมื่อลดความรุนแรงได้แล้ว เรามาคุยกันแล้ว เรามาแก้ไขรัฐธรรมนูญกัน โดยสภาในสมัยนี้ไม่สามารถนำเสนอได้แล้ว แต่ในสมัยหน้ายังมี ท่านเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกประเทศร่วมกัน ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่สมบูรณ์ที่สุดหรอก แต่รัฐธรรมนูญทุกฉบับสามารถแก้ไขได้ทุกมาตราด้วย

เพียงแต่ว่าเราต้องมาคุยกันแค่นั้น

ทัศนีย์บอกอีกว่า 7-8 ปีที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสที่ประเทศจะพัฒนา เมื่อก่อนประเทศเราเคยถูกเทียบกับสิงคโปร์ สมัยท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อก่อนเราจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้หลังจากที่มีการรัฐประหาร ตอนนี้เราไม่น่าจะเรียกว่าเสือ เราเป็นอันดับสุดท้าย น่าจะเป็นแมวตัวสุดท้ายของเอเชียด้วยซ้ำ เราเป็นเสือไม่ได้ และอะไรที่เราจะได้พัฒนา ประเทศไทยเราไม่ได้เดินอยู่กับที่ เราเห็นแต่คนเดินไปข้างหน้า ทุกครั้งเราเห็นว่าคนเดินไปข้างหน้า แต่ว่าประเทศไทยเรา เหมือนว่าเราเดินถอยไปข้างหลัง เราไม่ได้เดินไปข้างหน้าเลย

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เราไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยเราก็เหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ เราก็ไม่ก้าว ถ้าไม่อยู่กับที่ ก็เหมือนเดินไปข้างหลัง

พูดถึงภาพการผนึกกำลังกัน ของ ส.ว.-ส.ส.ฝั่งรัฐบาลในการปิดประตูทางออกประเทศ ภาพที่เรานึกถึงคือ ภาพของทหาร ที่รับคำสั่งได้ดีมากเลย ร้อยทั้งร้อยแทบไม่แตกแถวเลย มีแค่ ส.ว. 3 ท่านนั้นที่ลงมติรับหลักการร่างประชาชน ที่เหลือนี่แบบวันทยหัตถ์รับคำสั่งกันหมดเลย

อันนี้ก็จะเห็นเป็นผลพวงที่มีการแต่งตั้ง ส.ว. เข้ามา 250 คน

 

ทัศนีย์กล่าวอีกว่า หากให้มองรัฐธรรมนูญฉบับนี้จริงๆ แล้ว ส่วนตัวได้ฟังนโยบายหลายพรรคมากเลย โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ มักพูดว่า เขาจำเป็นต้องเข้าร่วมรัฐบาล เพราะต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันนี้จำคำพูดของท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้เลย

แต่เมื่อมีเหตุให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ มีร่างแก้ไขมาจากประชาชน ไม่ใช่น้อยๆ หนึ่งแสนสามหมื่นกว่าคน เข้ามาสู่สภา แล้วทำไมถึงปิดโอกาสประชาชน ก็อยากจะสอบถามกลับไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ที่ท่านต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถึงเวลาต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำไมท่านปิดประตูใส่

แล้วเรื่องที่ ส.ว. ออกมาพูดแต่ละท่าน ชอบอ้างว่า “รัฐธรรมนูญนี้ ผ่านการทำประชามติมา 16 ล้านเสียง” ดิฉันขอถามจากใจจริง ดิฉันเปิดอกจากใจจริง “ท่านพูดออกมานี่ ท่านกล้าพูดหรอคะ?” ท่านคิดจากใจจริงเหรอคะว่า 16 ล้านเสียงที่ผ่านประชามติเป็น 16 ล้านเสียงที่บริสุทธิ์?”

เพราะว่าการทำประชามติครั้งที่แล้ว มีประชาชน 60 กว่าคนถูกจับเพราะมีความคิดเห็นต่างกับผู้มีอำนาจ

ประชามตินี้เป็นประชามติที่อัปยศมาก เหมือนกับเอาปืนจี้หัวประชาชนไว้ในการทำประชามติ

อยากถามจากใจ “ท่านคิดจากใจจริงๆ เหรอว่านี่คือการทำประชามติที่เป็นประชาธิปไตย?”

ส่วนตัวที่เคยถูกดำเนินคดี ตอนนั้นเราเพียงแค่ทำจดหมายแสดงความคิดเห็น ไม่ได้บอกว่าให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลย เพียงแต่แสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเท่านั้นเอง ในความคิดเห็นของอดีตนักการเมืองคนหนึ่งที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนได้รับทราบบ้าง เพราะว่าตอนนั้นมันเหมือนมีการทำแต่ข้อดีของรัฐธรรมนูญออกมา คนที่เห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญชุดนั้นก็สามารถที่จะพูด-แสดงออกได้ปกติ แต่เมื่อมีการแสดงข้อคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับบางข้อของร่างรัฐธรรมนูญ กลับถูกใช้กฎหมายดำเนินคดีหมดเลย

หลังจากดิฉันทำจดหมายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร 7 วัน ไม่ได้ “ปรับทัศนคติ” นะคะ ถูกควบคุมตัวในค่าย ม.ทบ.11 หนึ่งอาทิตย์ เสร็จแล้วถูกดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นศาลทหาร เอาไปอยู่ในเรือนจำหญิงอีก 21 วัน คือสามอาทิตย์เลยนะ สำหรับคนที่เพียงแสดงความคิดเห็นในร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น

มันมีเป็นความเป็นธรรมเหรอ?

นี่ดิฉันเป็นอดีตนักการเมือง ยังโดนขนาดนี้ ไม่รู้ว่าประชาชนที่ถูกดำเนินคดีอีก 60 กว่าคนนี่เขาจะโดนอย่างไร เมื่อตอนเข้าไปในค่ายทหาร เขาจะโดนการกระทำอย่างไร วิธีสอบสวนแต่ละท่านไม่ทราบจริงๆ ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าคนเราเพียงแค่แสดงความคิดเห็นจะโดนหนักขนาดนี้ด้วยซ้ำ เป็นการใช้อำนาจมาตราปิดปากประชาชน

ซึ่งตอนที่อยู่ในค่ายทหารก็ถูกสอบสวนทั้ง 7 วัน คำถามก็วนไปวนมาแต่ว่า “ใครเป็นคนทำจดหมาย?” พยายามจะโยงกับพรรคการเมืองให้ได้ ซึ่งดิฉันก็บอกเขาแล้วว่ามันเป็นความคิดเห็นของดิฉันคนเดียวจริงๆ คือเราในฐานะนักการเมือง ถ้าเราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ เราก็ไม่ต้องเป็นนักการเมืองแล้ว ประชาชน เกิดเป็นคนต้องสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ว่าในเมื่อความจริงก็คือความจริง สอบอย่างไรก็คือความจริง ดิฉันไม่รู้ว่าประชาชนคนอื่นจะโดนลักษณะไหนบ้าง เพราะตอนนั้นอย่างลืมว่าเรามีมาตรา 44 ที่ผู้นำ คสช.สามารถทำอะไรก็ได้ เพราะเขานิรโทษกรรมตัวเองอยู่แล้ว

ต่อคำถามว่าทำไม “จุดยืนยังหนักแน่นอยู่ที่เดิมไม่คิดย้ายค่าย”

ส.ส.ทัศนีย์บอกว่า ถ้าเรายืนอยู่ในหลัก เราคิดว่าหลักการของเรานี้ถูกต้อง เข้าใจนะว่าบริบทของแต่ละคนต่างกัน บางคน เรียนตามตรงว่าอาจจะถูกบีบด้วยคดี หรืออะไรต่างๆ ของดิฉันก็มีคดีอีกสี่ข้อหา มีคดีประชามติ คดี 116 คดีอั้งยี่ คดีซ่องโจร ฐานความผิดนี่ 10 ปีเลยนะ แต่มานั่งคิดว่า เมื่อเรายืนอยู่ในหลัก ถ้าจะเอาไปจำคุก ก็ยอม เพราะคิดว่าเราโดนมา 21 วันแล้ว ถ้าคดีที่จะเอาไปจำคุก เพราะเป็นอั้งยี่ เป็นซ่องโจร ก็ยอมแล้ว ให้โลกได้รู้ว่า แค่แสดงความคิดเห็นต่าง แล้วต้องอยู่ในคุก

คดีที่เขาตั้ง โดยเฉพาะอั้งยี่ ซ่องโจร คิดว่าทั่วโลกดูแล้วประเทศไทยน่าจะอายด้วยซ้ำ ที่กล้าตั้งคดีที่ไม่มีมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมาริเริ่มคดีอั้งยี่ ซ่องโจรใหม่เมื่อตอนคณะรัฐประหาร

ที่มีประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ นี่แหละ!

ชมคลิป