กาละแมร์ พัชรศรี : สิ่งที่ได้จากถ้ำยักษ์ (1)

ถ้าจะต้องจัดลำดับการเดินทางในดวงใจ การเข้าถ้ำ Son Doong ขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งในใจฉันตอนนี้ค่ะ

แม้ไม่ใช่สถานที่หรูหรา อยู่สบาย แต่นั่นกลับกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำและเปลี่ยนชีวิตในที่สุด

ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ในนั้นมีทั้งสถานการณ์ที่ชอบและไม่ชอบ บางครั้งอยากออกและบางครั้งอยากอยู่ต่อ

เราต้องไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคย ไปอยู่ในสถานการณ์ที่เฉียดเป็นเฉียดตาย มันไม่สบายตัว กังวลใจ มันเหนื่อย แต่พอเราผ่านมันมาได้ เราเริ่มมองเห็นความงามรอบตัว เรามองสิ่งอื่นนอกจากเรื่องตัวเอง เราแมร่งโคตรชอบเหตุการณ์ต่างๆ ในถ้ำเลย

จากการเดินทางครั้งนี้ ฉันพูดได้เลยว่า “อะไรก็ได้” สำหรับชีวิต

 

เมื่อก่อนเราจะเป็นคนช่างคัดสรร เราชอบเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ต้องดี ต้องเลิศ ต้องเป๊ะ ง่ายๆ คือเยอะ!!!! (ฮา)

พอคราวนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่บังคับเรา เริ่มจาก เราไม่ได้เลือกสถานที่ไปเอง เพื่อนมาชวนแถมไปกับคนที่ไม่เคยเดินทางด้วยเลย บางคนไม่เคยรู้จัก ปรกติจะไม่ไป แต่ครั้งนี้เอาวะลองดู (เรื่องเป็นผู้หญิงคนเดียวในทริปไม่ติดอะไร ไม่มีเรื่องเพศมาเป็นข้อจำกัดอะไรในชีวิต)

แต่พอเราไม่คิดอะไรมาก ไม่ตั้งแง่ ไปแบบสบายๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า ทุกอย่างคือเรื่องตื่นเต้น ความสนุกของทุกๆ คน ไม่มีใครเรื่องมากอะไรเลย ทั้งๆ ที่ชีวิตปรกติเป็นคนมิใช่น้อยเหมือนกัน

และกลายเป็นว่า เมื่อเราไม่ตั้งกำแพง ไม่คาดหวัง ไม่ตัดสิน เราได้เพื่อนใหม่กลับมาหมดเลย

เราได้รู้จักตัวตนของพวกเขามากขึ้น ในวันที่เราไม่ต้องสวมหัวโขน ไม่ต้องมีหน้ากาก ไม่มีไฟ ไม่มีกล้อง ไม่มีตำแหน่งหน้าที่เจ้าของบริษัท

เราคือ “เพื่อน” ที่ผ่านเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน

ในถ้ำไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใดๆ โทรศัพท์ที่พกไปได้แค่ถ่ายรูป (ตอนเวลาพัก) เพราะตอนที่ต้องเดินในถ้ำ เดินป่าไม่มีกะจิตกะใจจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาสักนิด คิดอย่างเดียวกรูต้องเอาชีวิตรอดให้ได้

ดังนั้น การไม่ต้องติดต่อสื่อสารกับใคร ไม่ต้องเล่นโซเชียล ไม่ต้องอ่านไลน์ ไม่ต้องติดตามข่าวสารเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของเรา

เหมือนการไปบำบัดอาการเสพติดโซเชียล ไม่มีมันเราก็อยู่ได้นี่ แถมการไม่ต้องก้มดูโทรศัพท์ตลอดเวลา มันทำให้เราได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสวยงามขึ้น

ได้ฟังเพื่อนเล่าเรื่องตลกคมชัดทุกมุข ได้มองหน้ามองตากันหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง

เวลากินข้าวได้ลิ้มรสชาติของอาหารมากขึ้น

ที่สำคัญไม่มีเรื่องอะไรมารกสมองเลย

ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคต ไม่ต้องคิดมากในเรื่องอดีต มีแค่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า อย่าง ไฟในเต็นท์ ถ่านอ่อนรึป่า ทิชชูเปียกเข้าส้วมอยู่ไหน ผ้าเช็ดตัวตากแล้วไม่แห้งสักที กินขนมอะไรดีนะ

แล้วพอเราออกจากป่า เราบอกกันเลยว่าคอยดูนะพอเปิดมือถือ มันจะมีแต่เรื่องไม่เป็นสาระเข้ามา แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…

 

ฉันคิดว่า ฉันสามารถกล้าที่จะเผชิญกับความสูงในครั้งต่อๆ ไป

ฉันผ่านสิ่งที่ยากและไม่คิดว่าจะทำได้ในชีวิต ด้วยสถานการณ์ตรงหน้ามันทำให้ฉันต้องลงมือก้าวข้ามมันไป

แต่ไม่ใช่ว่าจะไปโดดบันจี้จั๊มพ์เล่น เพียงแต่ว่าถ้าวันใดต้องเจอกันอีก ก็พร้อมเซย์ไฮกับความสูงได้

นอนในถ้ำแบบไม่อาบน้ำ ในเต็นท์ที่มีเบาะบางๆ วางบนพื้น แถมคืนที่ฝนตกน้ำจะท่วมถ้ำ เขาลากเบาะให้เราไปนอนบนหินที่สูงขึ้นเรียงกันเป็นเข่งปลาทู พร้อมถุงนอนคนละถุง เรากลับนอนหลับกันสนิท

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันนอนที่ไหนก็ได้

เมื่อก่อนเยอะสิ่งค่ะ ที่นอนแข็ง หมอนสูง ห้องมีกลิ่น มีเสียงดัง ไฟสว่าง ร้อนไป หนาวไป เพื่อนนอนกรน ยังไงก็จะไม่ยอม

แต่หลังจากไปถ้ำเป็นไงคะ เต็นท์เหม็นอับบ้าง มีกลิ่นเหงื่อบ้าง น้ำก็ไม่ได้อาบ ใช้ทิชชูเปียกเช็ดๆ ตัวไป เต็นท์เรียงติดๆ กันทุกคนกรนหมด ใส่ ear plug อุดหูสิคะ พอมันเหนื่อย กินอิ่ม สักทุ่มสองทุ่ม เริ่มง่วงกันแล้ว

บางคนอาจคิดว่าในถ้ำอากาศน้อย เปล่าเลยค่ะ เนื่องจากถ้ำมันใหญ่มาก เพดานสูงมาก แคมป์ก็ตั้งตรงปากถ้ำขนาดใหญ่ เรื่องอากาศไม่มีปัญหา และในถ้ำมีความชื้นสูงค่ะ ผิวหน้า ผิวกายฉันดีมาก ไม่แห้งเลยแม้ไม่ทาครีม แต่พอออกจากถ้ำเจอลมเจอแดดเจอฝุ่น พังทันทีค่ะ

เรื่องความชื้นมีทั้งดีและน่ารำคาญใจคือ เสื้อผ้าที่ตากไว้ รองเท้าที่ลุยน้ำมาทุกวัน มันไม่เคยแห้งเลย เราต้องใส่รองเท้าเปียกๆ กันทั้งวัน

แต่เชื่อมะ สุดท้ายมันก็ชิน ก็ใส่มันทั้งเปียกๆ แบบนั้น พอจะใส่รองเท้าแตะตอนอยู่ในแคมป์ เท้าก็ชื้นตลอดเวลา ทรายตามพื้นก็ติดเท้าไปเรื่อยๆ เช็ดก็แล้ว ปัดก็แล้ว แป้งโรยก็แล้ว มันยังติดเท้าน่ารำคาญ ก็ช่างแมร่งแล้วค่ะ อยู่กับทรายมันไปอย่างนั้นแหละ

ครั้งหน้าจะเล่าว่าฉันฝ่าฟันการไม่อึ 3 วันมาได้อย่างไร และมีบางคนที่ไม่ยอมสะพายเป้อีกเลย มันเพราะอะไร ครั้งหน้าจะเล่าให้ฟังค่ะ