สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร/2แพร่ง

สถานีคิดเลขที่ 12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

———————–

2แพร่ง

————-

ระหว่างที่เรารอ “2-2-2″ ที่จะชี้อนาคตการเมืองของประเทศ หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้

2 แรก คือ 2 พ.ร.ป.ว่าด้วย พรรคการเมือง และ การเลือกตั้ง จะคลอดออกมาแบบไหน

2 ที่สอง คือ การเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ จะออกแบบมาอย่างไร พรรคไหนจะได้เปรียบ เสียเปรียบ

2 ที่สาม คือ การตัดสินใจ 2 เรื่องสำคัญของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ1)จะเลือกเส้นทางการเมืองคู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไปหรือย้ายไปตั้งพรรคใหม่ 2)จะยุบสภาเมื่อใด และอย่างไร

ไม่ว่าฉากทัศน์การเมือง ” 2-2-2″ จะออกมาอย่างไร ล้วนส่งผลต่ออนาคตประเทศทั้งสิ้น

คาดหมายกันว่า ช่วงกลางปี 2565 เราน่าจะเริ่มได้คำตอบนั้น

ระหว่างรออยากชี้ชวนให้พิจารณา “ทาง2 แพร่ง” ที่เกี่ยวโยงกับการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งสำคัญไม่น้อยกับการเมืองภายในประเทศเช่นกัน

โดยในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเห็นการขับเคลื่อนของ ผู้นำประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ”หางเครื่อง”ของรัฐบาล เกี่ยวกับ การเมืองระหว่างชาติ อย่างน่าพิจารณา

เดิมนั้นการต่างประเทศเราจะไม่เอียงไปฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนัก (แม้ว่าในความเป็นจริงเราถูกมองว่าเป็นบริวารสหรัฐมาโดยตลอด)

แต่หลังการยึดอำนาจ 2557 ต่อเนื่องถึงรัฐบาลปัจจุบัน

ดูเหมือนจะเอียงไปทางจีนมากกว่า

พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งร่วมประชุมผู้นำอาเซี่ยน+จีน ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรอย่างยิ่งกับผู้นำจีน ผิดกับผู้นำหลายชาติในอาเซี่ยนที่แสดงท่าทีไม่พอใจจีนโดยเฉพาะปัญหาในทะเลจีนใต้

นอกจากนี้ไทยไม่ได้คัดค้านความพยายามโน้มน้าวของจีนที่จะให้ดึงผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเข้ามาร่วมประชุมด้วย แต่หลายชาติอาเซี่ยนไม่เอาด้วย การโน้มน้าวของจีนจึงไม่สำเร็จ

ไม่เพียงชื่นมื่นระหว่างรัฐบาลไทย-จีน เท่านั้น ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ ยังโชว์ความชื่นมื่นระหว่างประชุมออนไลน์กับผู้บริหารหัวเว่ยยักษ์โทรคมนาคมจีน ที่เคยตกเป็นตัวละคร”สงครามตัวแทน” ระหว่างจีนกับสหรัฐและชาติตะวันตกอย่างเข้มข้น

สะท้อนจุดยืนที่แตกต่างในเรื่องนี้อย่างชัดเจนระหว่างไทยกับชาติตะวันตก

ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ หากยังเกี่ยวพันไปจุดยืนอันแตกต่างต่อกรณีเมียนมาที่สหรัฐและชาติตะวันตกไม่ยอมรับรัฐทหารเมียนมา

แต่นายดอน ปรมัตถ์วินัย กลับบินไปเมียนมาแบบลับๆแต่ก็ปิดไม่มิด

ซึ่งแน่นอน สหรัฐและชาติตะวันตกย่อมไม่พึงใจ ถึงความโน้มเอียงที่ไทยหรี่ตาข้างหนึ่งให้กับรัฐบาลอำนาจนิยมอย่างเมียนมา

ยิ่งกว่านั้นอีกฟาก ยังเออออกับกัมพูชา ด้วยการส่ง นักโทษลี้ภัยกลับไปให้ดำเนินคดี

จนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ออกแถลงการณ์ประณามไทยอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน”หางเครื่องรัฐบาล”ยังออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ องค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย อ้างว่าเข้ามาจุ้นจ้านการเมืองในประเทศ

อันสะท้อนว่าไทยสะวิงไปอีกข้างคือให้น้ำหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนน้อยกว่าความมั่นคง

ซึ่งย่อมมีระยะห่างจากสหรัฐ แม้ด้านหนึ่งจะแสดงความใกล้ชิดด้วยการช่วยเหลือเรื่องวัคซีนโควิด19 แต่อีกด้านก็เพิ่มระยะห่างกับไทยอย่างไม่ปิดบัง

ล่าสุด คือการไม่เชิญไทยเข้าร่วมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย 110 ประเทศ

ซึ่งแม้ไทยจะแสดงท่าทีไม่สนใจ

แต่ก็เป็นสัญญาณที่ชี้แนวโน้มว่าไทยโน้มเอียงไปยังฝ่ายอำนาจนิยมอย่าง จีน เมียนมา กัมพูชา มากกว่าสหรัฐและชาติตะวันตก

ซึ่งเชื่อว่า คนไทยหลายคนมีคำถามในจุดยืนนี้ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์

ถือเป็นทาง 2 แพร่ง ที่อาจจะต้องดีเบตกันอย่างเข้มข้นหากกรณี “2-2-2″มีคำตอบ และนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่