ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
อัญเจียแขฺมร์
อภิญญา ตะวันออก
ยึก แถม
วิทูวิทยา
ผู้ปักหลักสถาบันเถรวาทวิทยา
หากจำได้ กรณีเกี่ยวกับสำนักพุทธศาสนบัณฑิตกัมพูชา ก่อตั้ง ค.ศ.1927-1974 อันราวกับมีที่มาประหนึ่งหอสมุดวชิรญาณแห่งสยาม
หากนับเนื่องเวลาที่ตกหล่นล่วงไประหว่างปีก่อตั้งและสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ให้นับว่า สำคัญมากนักต่อกัมพูชา (และลาว) ด้านการพัฒนาประเทศในนามแคว้นนิคมอินโดจีน
ในที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่า ฉันจะไม่เผลอไผลไปเขียนบทความร้อยกรองอีกต่อไป โชคดีที่การย้ายอาศัยฐาน (ที่อยู่) จากชนบทเป็นเมืองหลวง ทำให้ “หัวกบาล” ที่คุกคามจากภาวะดังกล่าวได้หายไป-แม้จะชั่วคราว แต่เพราะชีวิตอันร่วงหล่นของนักอักษรศาสตร์เขมรคนหนึ่ง-ท่าน ยึก แถม (1903-1974)
พลัน อาการสมองถอยหลังเป็นคำกลอนก็หายไป
ใครจะรู้ มากกว่าหอสมุดวชิรญาณของไทยที่ไม่มีเกินกว่า ศ.ยอร์ช เซเดส์ บรรณารักษ์ที่กุมบังเหียนคลังความรู้ของไทยแต่ผู้เดียว
ทว่าที่เขมรนั้น เริ่มตั้งแต่ยึก แถม บวชเป็นเณรน้อยตอนอายุ 15 ปีเลยทีเดียว
มันคือปี 1918 หรือย้อนไปก่อนนั้น ตั้งแต่ยึก แถมอายุได้ 10 ขวบพ่อนำไปฝากเรียนกับพระครูซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติที่วัดโพธิวัล อำเภอสังแก จังหวัดพระตะบอง
ก็แปลกดีที่จังหวัดนี้ เต็มไปด้วยกวีและนักปราชญ์ หลายท่านเกิดที่นี่-สะตึงสังแก
แม้ว่าจริงแล้ว ยึก แถมจะเกิดที่ สังกัดสวายเปา แต่ก็นับว่า พระตะบองยุคนิคมบารังและสังคมใหม่หลังเอกราช ช่างเต็มไปด้วยนักก่อการดีมากมายไปหมด
แต่หลวงตามามรณภาพเสียก่อน พ่อจึงเอาแถมไปฝากหลวงพ่ออิว ตวด บรรพชาเป็นสามเณร ร่ำเรียนบาลีกับ เจ้าอธิการสำ เมื่อนักปฏิรูปสังคมเขมรสมัยใหม่-เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเริ่มเสาะหาช้างเผือกเถรวาทวัยละอ่อน สามเณรยึก แถมคงเป็นที่น่าประทับใจ
แต่ฉันให้ข้อสังเกตว่า อาจมาจากที่เขาเป็นชาวพระตะบองซึ่งเคยขึ้นกับสยาม ดังนี้คล้อยสงครามโลกครั้งที่ 2 มินาน (1918) และสามเณรแถมก็เพิ่งบรรพชาที่เขมรไม่นาน เขากลับถูกส่งไปศึกษาพระธรรมวินัยที่บางกอก (กรุงเทพฯ) กับพวกฌมวญ (คนรับจ้าง)
เป็นเณรหนุ่มเพิ่งแตกพานอายุ 16 ปีก็เดินทางเกวียนไกลบ้านไกลเมืองปานนั้น ใช้เวลาถึง 10 วัน จากพระตะบองกว่าจะถึงเมืองปราจีน (บุรี) จึงลงเรืออีกทอด แล้วต่อรถไฟที่เมืองแปดริ้วปลายทางบางกอก
สามเณรแถมคนนี้ คงไม่ต่างจากเส้นทางของ ซูซานน์ คาร์เปเลส จากป้องดูเชรีไปปารีสเพื่อร่ำเรียนเป็นนักเถรวาทศึกษา ก่อนจะเป็นหัวหน้างานโดยตรงของ (อดีต) พระยึก แถมในอนาคตที่พนมเปญ
เห็นภาพแล้วเหมือนจิ๊กซอว์
จึ่งอนุมานไปว่า สามเณรเขมรรูปนี้ น่าจะเจอกับ ศ.ยอร์ช เซเดส์ มิทางใดก็ทางหนึ่ง
เณรแถมจำวัดสระเกศ (ภูเขาทอง) อ้างอิง “วัดพระเกตุ” กับ พระมหายาว พระเขมรที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน จากนั้นจึงเริ่มเรียนภาษาไทยควบพระธรรมวินัยอย่างรุดหน้า
ในปี 1921/2464 เณรยึก แถมสอบผ่านนักธรรมตรี และนักธรรมโทในสองปีต่อมา ก่อนอุปสมบทที่วัดสระเกศ และในปี 1929 นั่นเอง พระยึก แถมก็สอบเปรียญ ๕ สำเร็จ เป็นพระมหาแถม
ทั้งการฝึกแต่งบาลีไวยากรณ์เป็นแม่ประโยคต่างๆ อาทิ บทธรรมบทนิเทศท์, เทวดาภาษิต, พุทธภาษิตและอรรถกถาอื่นๆ เป็นภาษาไทยตีพิมพ์บนศาสตราสลึก-ริด หรือใบลาน
กระทั่ง ซูซานน์ คาร์เปเลสก่อตั้งหอสมุดแห่งชาติกัมพูชาสำเร็จแล้วนั่นเอง ในปี ค.ศ.1930 ภิกษุยึก แถม จึงกลับเมืองเขมร แต่มิใช่พระตะบองบ้านเกิด หากเป็นกรุงพนมเปญที่ซึ่งเขารับหน้าที่ในองค์คณะ “ชุมนุมชำระพระไตรปิฎก”
ฉันก็ถึงบางอ้อว่า ซูซานน์ คาร์เปเลสมิได้ก่อตั้งโครงการเถรวาทมากมายขึ้นมาลอยๆ หากแต่มีฐานะรองรับมาก่อนหน้านั้นร่วมสิบปีแล้ว หาไม่คงไร้นักวิจัยเขมรทำหน้าที่สนับสนุน
แต่ทำงานให้สำนักพุทธฯ เพียง 5 ปี พระยึก แถมก็ลาสิกขาบท ถัดมาเพียงปีเดียวก็สมรสกับสาวเมืองอุดงที่จังหวัดกำปงสะปือ มีลูกดกหญิงชายถึง 11 คนเลยทีเดียว
ไม่นานเมื่อคาร์เปเลสออกนิตยสารรายเดือนชื่อ “กัมโพชสุริยา” ยึก แถมก็ได้การแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการที่ยาวนานต่อมา คือระหว่าง 1938-1974
เรียกว่า แม้แต่นายหญิงคาร์เปเลสจะจากกัมพูชาไปแล้ว ยึก แถมก็รับภาระงานนี้จวบวันที่ตนลาโลกและระบอบเขมรแดงยึดครองประเทศในไม่กี่เดือนถัดมา
รวมเวลาถึง 36 ปี แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่ “กัมโพชสุริยา” มีอันยุติตีพิมพ์เผยแพร่จากสงครามโลกครั้งที่ 2 และการถอนตัวของนิคมบารัง แต่การที่สำนักพุทธศาสนบัณฑิตสามารถประคองตัวมากับสังคมกัมพูชาในวาระสุดท้ายนั้น
นับว่าท่านยึก แถมได้ทำหน้าที่อย่างสุดกำลัง จนวาระสุดท้าย
โดยในปี 1942-1946 ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนบัณฑิต นางสาวซูซานน์ คาร์เปเลส เห็นถึงความรอบรู้ด้านพุทธศาสตร์ของยึก แถมจากการเป็นตัวแทนโครงการของสถาบันฯ ทั้งในแคว้นลาวและกัมพูชาใต้-แคว้นโคชินจีน/เวียดนามตอนใต้
โดยในปี ค.ศ.1945 ใครจะนึกเลยว่า ยึก แถมซึ่งเคยมาศึกษาในประเทศไทยจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายล่ามแห่งสาธารณรัฐอินโดจีน-ฝรั่งเศสกรุงไซ่ง่อน ที่ซึ่งเขาทำหน้าที่ผู้ชำนาญภาษา “ไทย-ฝรั่งเศส-เขมร” เพื่อเรียกร้องพระตะบอง เสียมเรียบจากไทย ซึ่งออกอากาศทางวิทยุไซ่ง่อนนับเป็นเวลาร่วมปี
เมื่อกลับกรุงพนมเปญ นอกจากหน้าที่ในสำนักพุทธศาสนบัณฑิตแล้ว ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยพระสีสุวัตถิ์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วยจนปี 1957 ที่ยึกแถม เกษียณอายุ (55 ปี) นั้น ในที่สุดกระทรวงอบรม/ธรรมการ ก็ต่ออายุงานในตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ (professeur honoraire) คณะอักษรศาสตร์และมนุษยศาสตร์วิทยาลัยคุรุกุศล
ในช่วงเวลาที่รับใช้บารังยุคเถรวาทวิทยานั้น ยึก แถมได้เหรียญตราเชิดชูเกียรติ อาทิ ชั้นมุนีสาราภรณ์ (1940) อิสริยาภรณ์กรุงลาว อิสริยาภรณ์กรุงอันนัม (1943) เหรียญเงินเชิดชูเกียรติกัมพูชา 1960 และ 1962 และเป็นสมาชิกประจำชุมนุมวัฒนธรรม ตั้งแต่ ค.ศ.1947
เห็นได้ชัดว่า ทั้งคาร์เปเลสและปิแอร์ ดูป็องต์ ซึ่งรับตำแหน่งต่อมา ต่างยกย่องเขาว่าเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของสถาบันแห่งนี้
หมดยุคนายบารังไปแล้ว ในปี 1956 นั่นอง ยึก แถมจึงก่อตั้ง “สมาคมนักเขียนเขมร”
ทั้ง “ชุมนุมพระไตรปิฎกเขมร-บารัง” ที่ยังคาราคาซังนั้น ก็ได้ ยึก แถมนี่เองที่สานต่อ
รวมทั้งนิตยสารกัมโพชสุริยาที่เขาผลักดันและมีผลงานตีพิมพ์มากมาย
ยึก แถมยังแต่งนวนิยายประโลมโลกย์ 2 เรื่อง “ปีศาจเสน่หา” และ “กุหลาบไพลิน” (1942/1943)
เรื่องหลังนี้เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งยังดัดแปลงเป็นละครพูด ภาพยนตร์ แต่นิยายสั้น 35 หน้าอย่าง “ปีศาจเสน่หา” กลับไม่เป็นที่นิยม
นิยายรักสามเส้า โศกนาฏกรรมพี่น้องสองสาว : เนียง สารีและเนียง สารุน ที่มีต่อรัฐ-เจ้ากรมหนุ่ม จนเกิดเป็นแรงริษยา-อัตวินิบาตกรรม
เราคงนึกไม่ถึงว่า ชีวิตนักเขียนคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากคฤหัสถ์นักบวชมาสู่ผู้ครองเรือนและนักวิชาการ
ใครเลยจะนึกว่า จากชีวิตเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ใครเลยจะนึกว่าเส้นทางสังคายนาเถรวาทในเขมรจะนำพาชีวิตชายคนหนึ่งไปสู่เส้นทางวิทูวิทยาที่มากด้วยองค์ความรู้และเป็นส่วนเดียวที่ดีงามของระบอบอาณานิคมบารังทิ้งไว้ให้
ในฐานะชาวท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จของเถรวาทวิทยาทางวัฒนธรรมในการพัฒนาทั้งระดับแคว้นเขมรและภูมิภาคอินโดจีน
แต่ก็แลกมาด้วยความโดดเดี่ยวยิ่งนัก
ตั้งแต่ครั้งขบวนการ “ปฏิวัติร่ม” (1942) ถูกกวาดล้าง ยึก แถมดูจะเรียนรู้ความเจ็บปวดที่กลายเป็นแผลลึกในหมู่คนหนุ่มเขมรบางฝ่ายที่พยายามปลดแอกประเทศ ตั้งแต่พระปลัดเหม เจียวถูกจับสึก ชาวคณะถูกกวาดล้าง ซูซานน์ คาร์เปเลสหัวหน้าถูกอัปเปหิออกจากกัมพูชา
บางคนบางรูปถูกตำรวจไล่ล่า บางคนถึงกับหนีไปกบดานเมืองพระตะบอง ในจำนวนนี้มียึก แถมด้วยหรือไม่?
แน่นอนในฐานะสมาชิกคณะชุมนุมชำระพระไตรปิฎกร่วมกับคนเหล่านั้นซึ่งต่างเป็นสหการีร่วมสถาบันฯ ความตาย การจากลาและแพ้พ่ายในหมู่คนร่วมสถาบันแห่งนี้ จึงฝังรอยไว้ในความเจ็บปวด
ที่ดูเหมือนว่า จะมีแต่ยึก แถมเท่านั้น ที่เพียงตัวตนเพียงลำพัง
กว่าที่เขาจะประคองและดำเนินการให้องค์กรแห่งนี้มีตัวตนอีกครั้ง
ใครเลยจะรู้ว่า จะมีใครอีกหรือ? ที่ชีวิตแบบยึก แถม
ชายผู้ถือกำเนิดขึ้นมา ก่อนที่สถาบันเถรวาทวิทยาแห่งนี้จะถือกำเนิด
และล้มครืนตามมา เมื่อเขาทิ้งสังขารไป