เรื่องสั้น : คุณค่าสำคัญ

“เจตจันทร์” นามปากกาของนักเขียนหน้าใหม่ ลูกลำน้ำมูลอุบลราชธานี เขานั่งมองดอกคูนเหลืองตระการตาหน้าบ้านอย่างขบคิด เขาเพิ่งจบเรื่องสั้นเรื่องใหม่ที่พยายามแหวกหนีเสียงนินทาว่าคนอีสานเขียนเรื่องสั้นไม่พ้นควายกับความยากจน ใช้ประสบการณ์จริงทั้งหมดก่อเกิดเรื่องสั้นแนวใหม่ที่เขาเองเห็นว่าทั้งตัวเองไม่เคยเขียนและไม่เคยอ่านจากที่ใดมาก่อน เป็นธรรมดาของนักเขียนย่อมต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อเกียรติยศของตนเองและความสุขสดชื่นหลังงานเสร็จ

ทว่า ปัญหาคือตอนจบ “เจตจันทร์” ตัดสินใจไม่ถูก จึงไต่ถามบรรณาธิการ

และนี่คือเรื่องสั้นที่เขาเขียน

เรื่องสั้น : คุณค่าสำคัญ

โดย “เจตจันทร์”

ติณ นิติกวินกุล จรดปากกาเซ็นสัญญา ขณะลุกยืนยื่นเอกสารแก่ประธานสโมสร ไฟแฟลชจากกล้องหลายสิบตัววูบวาบ

และทวีขึ้นเมื่อติณโผเข้ากอดแม่

ติณ นิติกวินกุล เคยเป็นเจ้าของสถิติวิ่งมาราธอนของประเทศไทยด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 08 นาที 18 วินาที แม้จะถูกคู่แข่งคนสำคัญคือ ภาณุ บอลชอย ทำลายสถิติในปีต่อมาด้วยเวลาที่ดีกว่า 12 วินาทีก็ตาม ติณก็ยังได้รับการเซ็นสัญญาให้เป็นนักวิ่งในสังกัดของสโมสรบิวตี้ฟูล รัน แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยเงินตอบแทนเดือนละสองหมื่นยูเอสดอลลาร์ ไม่นับโบนัสพิเศษอื่นๆ โดยในข้อสัญญาต้องลงวิ่งรายการมาราธอนสำคัญของโลก อันได้แก่ บอสตันมาราธอน, ลอนดอนมาราธอน, เบอร์ลินมาราธอน, ชิคาโกมาราธอน, นิวยอร์กมาราธอน และอัมสเตอร์ดัมมาราธอน โดยเฉพาะรายการเมเจอร์ของปีห้ารายการแรกต้องลงแข่งให้ครบ แม้ติณจะเคยชนะเลิศชิคาโกมาราธอนด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 5 นาที 55 วินาที โดยดีกว่าผู้เคยชนะเลิศในรายการเดียวเมื่อปี 1999 ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ทำสถิติโลกขึ้นใหม่ แต่เขาก็ยังเป็นรองคู่แข่งอย่างภาณุที่เคยชนะเลิศรายการเดียวกันด้วยเวลาที่ดีกว่าเขาสองวินาทีในปีถัดมา

ผลประโยชน์ที่ติณจะได้รับนอกจากเงินตอบแทนรายเดือน คือค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน ค่าอาหาร รองเท้า เสื้อผ้า ถุงเท้าและเงินโบนัสพิเศษ เขาไม่ต้องควักเงินตัวเองเลยแลกกับการติดสปอนเซอร์ที่ทางสโมสรจัดหาให้บริเวณหน้าอกและหรือที่อื่นตามแต่สโมสรเห็นสมควร รวมถึงการให้สัมภาษณ์ทางรายการวิทยุ โทรทัศน์ งานรับเชิญ งานโชว์ตัวอื่นๆ

จึงกล่าวโดยสรุป ติณ นิติกวินกุล มีหน้าที่วิ่งมาราธอนในนามสโมสรบิวตี้ฟูล รัน โดยนำชีวิตทั้งหมดที่มนุษย์เราพึงมี พึงเป็น และพึงได้ใช้แลกกับเงิน

อากาศของมิลานปีนี้ไม่หนาวนัก ออกจะร้อนเสียด้วยซ้ำ ชาวเมืองพากันไปพักผ่อนแถบใต้ หรือไม่ก็บินหลบร้อนไปทางเอเชีย แต่ แซม บารัค ผู้จัดการสโมสรไม่หนีไปไหน แม้ไม่ใช่รายการที่นักวิ่งในสังกัดต้องลงแข่ง แต่เขาก็กระตือรือร้นเดินทางมาดูแล ผิดกับ ติณ นิติกวินกุล ที่กำลังหลับปุ๋ยในห้องพัก

แซมขึ้นลิฟต์ด้วยกิริยาอาการไม่พอใจ เขาใช้กุญแจสำรองของทางโรงแรมไขเข้ามา ติณตื่นขึ้นทันทีที่เสียงประตูปิดดังปัง

“ลุกขึ้น มิสเตอร์ติณ” แซมส่งเสียงดัง

ติณลุกขึ้นพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “มีอะไรค่อยคุยกันหลังผมนอนหลับสักงีบไม่ได้หรือ ผมเพิ่งวิ่งมาราธอนเสร็จนะ”

“ก็เรื่องวิ่งมาราธอนวันนี้นี่แหละที่ผมต้องเข้ามาคุยด้วย” แซมเสียงแข็ง “คุณนี่ดูท่าจะต้องนอนยาวหลังการแข่งขันทุกรายการเลยสินะ ผมไม่ชอบให้อะไรค้างคาใจ”

“ก็ได้” ติณบิดขี้เกียจ ก่อนจะยันกายครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง “มีอะไร ว่ามา”

“คุณเมาเมื่อคืน”

“แล้วไง”

“ก็มันทำให้คุณเข้าที่ 36 น่ะสิ”

“แล้วไง”

“ปีที่แล้วรายการนี้คุณได้ที่ 3 รายการที่ผ่านมาห้าครั้ง คุณก็ไม่เคยจบด้วยอันดับที่ดีกว่า 15 เลย มิหนำซ้ำสองรายการก่อนหน้านี้คุณออกจากการแข่งขันก่อน”

“แล้วไง นักกีฬาต้องมีฟอร์มตกมั่งสิ”

“แต่ประยุทธไม่ได้เป็นอย่างคุณนะ ไม่ขี้เมา ไม่เคยได้อันดับต่ำกว่าสิบ ที่สำคัญชนะเลิศลอนดอนมาราธอนขณะที่คุณออกจากการแข่งขันหลังวิ่งไปได้แค่ยี่สิบกิโล”

ติณเงียบ

“ผมจะพาคุณไปหาหมอ” แซมพูด ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งพลางมองติณและทอดถอนใจ

“เพื่อ?”

“เลิกเหล้า”

“ทำไมต้องเลิก”

“คุณเป็นเหี้ยอะไร ต้องแดกเหล้าหนักตลอดครึ่งปีมานี้ แอลกอฮอล์ไม่เหมาะกับนักกีฬา โดยเฉพาะกับนักวิ่งมาราธอนก่อนแข่ง”

“แล้วไง”

แซมถอนใจ “คุณต้องบำบัด”

ติณ นิติกวินกุล ขยับไปยังขอบเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน เขามองไปนอกหน้าต่างอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันมาพูดกับ แซม บารัค ว่า “คุณเคยท้องเสียอย่างหนัก แล้ววิ่งหาห้องน้ำไม่เจอมั้ย”

“เคย” แซมนิ่วหน้า “คุณย้อนถามผมอย่างนี้ทำไม”

“ผมง่วง ผมอยากนอน ผมเหนื่อยเหลือเกิน เชื่อผมเถอะ ผมไม่ได้โกหกคุณ”

แซมยังคงนิ่ง

“หลายเดือนมานี้แม่ผมเสียชีวิต ป้าผมรถคว่ำตาย เมียผมคลอดลูก ผมมีโอกาสกลับไปเยี่ยมเพียงครั้งเดียว พ่อผมนอนในห้องไอซียูผมไม่เคยกลับไปดูใจพ่อเลยสักครั้ง” ติณพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “พวกคุณเองไม่เคยแม้กระทั่งมีกระเช้าดอกไม้หรือของขวัญเยี่ยมไข้พวกเขาเสียด้วยซ้ำ คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม ผมหมายถึงอะไร คุณเข้าใจหรือเปล่า”

ห้องทั้งห้องเงียบ ในที่สุดแซมลุกขึ้นยืนและเปิดประตูห้องออกไปอย่างเงียบๆ

เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงที่ แซม บารัค นั่งครุ่นคิดในล็อบบี้ของโรงแรม เมื่อเขากดลิฟต์กลับขึ้นชั้น 8 อย่างช้าๆ ก้าวเดินอย่างช้าๆ ไขกุญแจอย่างช้าๆ ติณยังคงหลับสนิท แซมมองไปรอบๆ ห้อง และมองติณกับห้วงเวลาเมื่อครั้งเห็นติณเป็นนักวิ่งอนาคตไกลที่เมืองไทย เขาจำรอยยิ้มของติณเมื่อนั่งเซ็นสัญญาพร้อมแม่ได้ ติณโอบกอดแม่อย่างมีความสุข ประกายตาของผู้เป็นแม่ที่ได้เห็นลูกมีอนาคต มีความสุข ได้ทำในสิ่งที่รัก แซมจำได้ดี เขาตระหนักชัดว่าตนเพิ่งแลเห็นคุณค่าสำคัญบางอย่าง คุณค่านั้นสำหรับการมีชีวิตอยู่

แซมออกจากห้อง กดโทรศัพท์ในมือ กรอกเสียงลงไปว่า “ประยุทธ ติณยังหลับอยู่ ผมไม่อยากกวนเขา เอาว่าขอบคุณคุณมากนะ วันหน้าเราคงได้คุยกันอีก ขอบคุณอีกครั้ง”

จบแบบข้างบน กับจบแบบนี้ อย่างไหนดีกว่ากันครับ

แซมออกจากห้อง กดโทรศัพท์ในมือ กรอกเสียงลงไปว่า “ประยุทธ ติณยังหลับอยู่ ดูเขาไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ ขอบคุณคุณมากนะ”

จบ

บรรณาธิการตอบกลับทางอีเมล ดังนี้

เรียน คุณ “เจตจันทร์”

คุณค่าสำคัญ สำหรับงานชิ้นนี้อยู่ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละครับ คือคุณค่าสำคัญ คุณเลือกตอนจบมาให้ผมดีกว่า เพราะงานเขียนคือลูกของนักเขียน บรรณาธิการทำหน้าที่แค่ช่วยคุณคลอดลูก

ด้วยจิตคารวะ

ไพรัช ไพรัช