3 ป.ร้าวลึก สะเทือน ‘ป.ที่ 4’ ‘บิ๊กตู่’ วัดพลัง ‘บิ๊กป้อม’ สกัด ‘ธรรมนัส-นฤมล’ จับตาพี่ใหญ่ กู้ศักดิ์ศรี เฟ้นนายกฯ สำรอง ‘สัประยุทธ์’

รายงานพิเศษ

 

3 ป.ร้าวลึก

สะเทือน ‘ป.ที่ 4’

‘บิ๊กตู่’ วัดพลัง ‘บิ๊กป้อม’

สกัด ‘ธรรมนัส-นฤมล’

จับตาพี่ใหญ่ กู้ศักดิ์ศรี

เฟ้นนายกฯ สำรอง ‘สัประยุทธ์’

 

ไม่ว่าจะเหนียวแน่นยาวนานแค่ไหน แต่อำนาจและศักดิ์ศรี กำลังทำให้สายสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ เดินเข้าใกล้จุดวิกฤตเข้าไปทุกที เตรียมนับถอยหลังสู่การแตกหัก

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติการหักหน้าพี่ใหญ่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อีกครั้ง

เมื่อเซ็นคำสั่งริบคืนอำนาจ พล.อ.ประวิตรในการคุม 4 กรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตามเดิม

จากที่เคยเซ็นคำสั่งมอบให้ พล.อ.ประวิตรคุม 4 กรมไปได้แค่สัปดาห์เดียว

งานนี้ ไม่ใช่เพราะนายจุรินทร์ออกมาโวยว่า การแก้ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ควรให้กระทบพรรคอื่น

งานนี้ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์กลัวพรรคร่วมรัฐบาลแตก หรือกลัวพรรคประชาธิปัตย์ถอนตัว

แต่งานนี้ พรรคประชาธิปัตย์ช่วยหาทางลงให้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้มีเหตุผลในการขอริบคืน 4 กรมนี้จากพี่ใหญ่กลับมาให้นายจุรินทร์

แถมให้ อ.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย แจงในที่ประชุม ครม.ว่า พล.อ.ประวิตรกำกับดูแลคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและเรื่องที่ดิน ซึ่ง 4 กรมนี้ก็อยู่ในคณะกรรมการเหล่านั้นอยู่แล้ว ดังนั้น พล.อ.ประวิตรสามารถบริหารผ่านคณะกรรมการเหล่านั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปกำกับดูแลทั้ง 4 กรมนี้เอง

เรียกได้ว่า งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ช่วย และเป็นข้ออ้างที่จะเจรจากับ พล.อ.ประวิตรในการขอริบอำนาจคืน

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน

 

เพราะระยะหลัง พล.อ.ประยุทธ์กับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ และเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ สนิทสนมกันมาก นับตั้งแต่นายเฉลิมชัยช่วย พล.อ.ประยุทธ์เมื่อครั้งที่จะถูกปฏิวัติเงียบ โหวตล้มกลางสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นคนที่กระซิบบอกข่าวกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่ามีการซื้อโหวตกันในสภาในหลายพรรคการเมืองจริง แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังโดน

และเป็นคนที่ช่วยเคลียร์กับ ส.ส.ที่ถูกซื้อโหวตให้หันกลับมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ตามเดิม จนกลายเป็นคนรู้ใจของ พล.อ.ประยุทธ์อีกคน หลังจากช่วยให้พ้นจากเงื้อมมือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร.

ครั้งนี้ นายเฉลิมชัยซึ่งเป็น รมว.เกษตรฯ เจ้ากระทรวง จึงช่วยหาทางออก หาทางลงแบบไม่ต้องหักหาญ พล.อ.ประวิตรมากนัก

 

แม้ พล.อ.ประวิตรจะออกตัวว่า ได้คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องคืน 4 กรมให้นายจุรินทร์ก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่า เป็นอีกปมที่ทำให้รอยร้าวในใจพี่น้อง 2 ป. ลึกมากขึ้น

เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรขอคุม 4 กรมนี้เพราะ ร.อ.ธรรมนัส ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยยื้อที่จะไม่เซ็นคำสั่งให้ ไว้ถึง 2 สัปดาห์ แต่ที่สุดก็ต้องยอม ก่อนที่จะมาแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิม

เพราะเกรงว่า พล.อ.ประวิตรจะมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัสดูแล 4 กรมนี้ต่อไป เสมือนเป็น รมช.เกษตรฯ อยู่

เพราะมีรายงานว่าก่อนหน้าที่จะยกเลิกคำสั่งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้แจ้ง พล.อ.ประวิตรแล้วว่าอย่าให้ ร.อ.ธรรมนัสเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดูแลทั้ง 4 กรมนี้

แต่ พล.อ.ประวิตรยังคงให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และอดีต รมช.แรงงาน ช่วยงานในคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและน้ำอยู่ เพราะแต่งตั้งโดยตัวบุคคล ไม่ใช่แต่งตั้งโดยตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ และ รมช.แรงงาน

อีกทั้งบางคณะทำงาน พล.อ.ประวิตรก็แต่งตั้งใหม่ได้ ที่ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่พอใจ ในเมื่อถูกปลดออกจากรัฐมนตรีแล้ว ก็ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว

แต่ พล.อ.ประวิตรมองว่าการทำงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและน้ำ ทั้ง 4 กรมนี้เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะทำให้ ร.อ.ธรรมนัสยังคงใช้ในการลงพื้นที่หาเสียงได้

การประชุมบางคณะทำงาน พล.อ.ประวิตรจะใช้ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลสามารถร่วมประชุมด้วยได้ ไม่ได้ออกไปประชุมที่หน่วยงานราชการ

เพราะถึงอย่างไร พล.อ.ประวิตรก็ยังคงต้องใช้งาน ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลต่อไป เพราะถือเป็นคนรู้ใจรู้มือและไว้วางใจที่สุดในพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งในเวลานี้เกิดการแบ่งขั้วว่า ใครจะอยู่ฝั่ง พล.อ.ประวิตร หรืออยู่ฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ประวิตรขาดคนที่ไว้วางใจได้แบบ 100%

อีกทั้งในแต่ละวันของ พล.อ.ประวิตร หลังจากออกไปประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ต่างๆ แล้ว มื้อกลางวันก็จะมี ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลมากินข้าวด้วยเสมอๆ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ และประชุมหารือกันต่อ

ความกินแหนงแคลงใจกันของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะผลพวงจากความพยายามโหวตล้ม พล.อ.ประยุทธ์ในสภา ที่พาดพิง ป.ที่ 4 ซึ่งเป็นคนสุดรักของ พล.อ.ประวิตร

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์โทรศัพท์สอบถาม ป.ที่ 4 ด้วยตนเอง แต่ได้รับคำปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เรื่องทั้งหมดนี้ก็ถึงหู พล.อ.ประวิตร

และเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรเป็นคนรักน้อง ป.ที่ 4 มาก และเคยยืนยันมาตลอดว่า ป.ที่ 4 ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่คิดเล่นการเมือง รวมถึงกรณีนี้ด้วย

แม้ตั้งแต่ปลด ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลเป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์จะพบปะพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตรมากขึ้นก็ตาม แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น

ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประวิตรดึงตัวบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. มาเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์หวาดระแวงมากขึ้น

เพราะถูกจับตามองว่าจะเป็นทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร และอาจได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐด้วยอีกคน

เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะสู้ต่อ ไปต่อในนามของพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรก็พร้อมที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค แต่ทว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่เสนอแค่ชื่อเดียว

จึงไม่แปลกเมื่อถูกถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ชื่อเดียวหรือเสนอมากกว่าหนึ่งชื่อนั้น พล.อ.ประวิตรจึงยังอุบไต๋ ไม่ตอบ บอกแค่ว่า เป็นเรื่องของผม

ด้วยเพราะอาจจะมีตัวเลือกคนอื่นไว้ในใจแล้วเพื่อมาเพิ่มจุดขายให้พรรคพลังประชารัฐ เพราะคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ลดน้อยลง

แต่ยืนยันว่าจะไม่เสนอชื่อตัวเองในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะ “หัวหน้าพรรคมันเดินไม่ได้” ที่หมายถึงสุขภาพขาของตัวเอง

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยิ้มรับเทียบเชิญให้เป็นนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐและแสดงความขอบคุณ พร้อมยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปพรรคอื่นก็ตาม แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน

เพราะในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์อาจจะจูงมือบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รอง 3 ป. และ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐแยกวงไปอยู่พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคเศรษฐกิจไทย ของปลัดฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย ที่เชื่อกันว่าเป็นพรรคที่ พล.อ.อนุพงษ์จัดตั้งไว้

หรือแม้แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ให้แรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่ย้ายฝั่งมาอยู่ข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์ไปจัดตั้งไว้แล้ว

จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรออกตัวไว้ว่า ต้องรอดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ตั้งพรรคหรือไม่ จึงจะยืนยันได้ว่าจะไม่ย้ายพรรค

ความสัมพันธ์ที่ร้าวสะบั้น ยังไม่ขาดกันของ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประวิตร กลายเป็นประเด็นในแวดวงการเมืองที่จับตามองว่าจะพัฒนาไปสู่จุดใด ถึงขั้นจะแยกวงต่างคนต่างไปหรือไม่

เพราะแม้แต่บรรดานายทหารที่ใกล้ชิดทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ต่างก็เริ่มไม่แน่ใจกับการเดินเกมและการตัดสินใจของพี่น้อง 3 ป.

ด้วยเพราะคำพูดต่างๆ ที่บอกว่าไม่มีปัญหากัน ยังรักกันเหมือนเดิม และจะรักกันจนวันตายนั้น เป็นสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ก็คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า เพราะคิดว่าคะแนนนิยมยังดีอยู่ หาก พล.อ.ประวิตรไม่สนับสนุนก็พร้อมที่จะย้ายไปอยู่พรรคอื่น โดยดึง ส.ส.ที่สนับสนุนตนเองไปอยู่พรรคใหม่ด้วย

เพราะ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล แกนนำ ส.ส.ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมจะย้ายพรรค เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองให้ พล.อ.ประยุทธ์และกลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ของตนเอง

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะยืนยันว่าจะไม่มีใครย้ายไปกับ พ.อ.สุชาติก็ตาม

เพราะไม่ใช่แค่ พ.อ.สุชาติเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์หลายคนในแวดวงการเมืองก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรอาจต้องแยกทางกันเดินในที่สุด แม้จะพยายามสมานรอยร้าวกันแล้วก็ตาม

แต่ในเมื่อรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์หักหน้าพี่ใหญ่ปลด ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ลูกรักและมือทำงานในพรรคพลังประชารัฐก็ทำให้สายสัมพันธ์พี่น้อง ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตรก็ยังยืนกรานที่จะเลือก ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลไว้ข้างกาย ทั้งๆ ที่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องการ

แม้บรรดาทีมไอโอของรัฐบาลจะพยายามกลบเกลื่อนรอยร้าวความขัดแย้งแตกแยกของพี่น้อง 3 ป. ด้วยการปล่อยกระแสว่าเคลียร์กันแล้ว รักกันเหมือนเดิม และโยนความผิดให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลก็ตาม

แต่ในแวดวง 3 ป.รู้ดีว่า กำลังนับถอยหลัง จาก “มองหน้ารู้ใจ” กลายเป็นศึกสายเลือดทหารเลยทีเดียว