เมื่อเยาวรุ่นทะลุเพดาน/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

เมื่อเยาวรุ่นทะลุเพดาน

 

คนที่เกิดในปี 2540 ตอนนี้อายุ 24 เป็นหนุ่ม-สาวเต็มตัว แต่เมื่อตอนที่เกิด “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549″ คนรุ่นนี้อายุได้ 9 ขวบ คงยังไม่แหงนหน้าขึ้นมองเพดาน

พออายุได้ 17 ประเทศนี้ก็เกิดรัฐประหาร ” 22 พฤษภาคม 2557″ ขึ้นอีก ได้เห็นชายฉกรรจ์แต่งชุดทหารเหมือนเดิม ใช้ปืน ใช้รถถัง ใช้กำลังพลในกองทัพออกมาเที่ยวไล่กวาดจับผู้คนไปกักตัวในค่ายทหาร ได้เห็นภาพผู้นำท่าทางโอหังไร้มารยาทในมาดกราดเกรี้ยว

เมื่อโตขึ้นจึงรู้ว่าทหารทำแบบนี้กับประเทศนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยใช้ลูกไม้เก่าๆ เช่นว่า มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีความขัดแย้งแตกแยกแบ่งฝ่าย เป็นเผด็จการทางรัฐสภา มีคนทำลายสถาบันทหาร และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534, พฤษภาทมิฬ 2535, พฤษภาอำมหิต 2553, รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เกิดขึ้นจำเจและเจนตา ยังไม่เคยมีใครเอาตัว “ผู้ก่อการ” รัฐประหารเข้าคุกกันอย่างจริงจัง

ไม่มี “รัฐทหาร” ในโลกที่ประชาชนจะมีการศึกษาที่ดี มีอาหารอิ่มท้อง เศรษฐกิจพัฒนาก้าวหน้า สายตาของรัฐทหารจะวาววับอยู่กับการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ หรือไม่ก็จะปลาบปลื้มยินดีกับเก้าอี้กรรมการในรัฐวิสาหกิจและธุรกิจเอกชน

แม้แต่ประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ยังจัดวางระบบอันเข้มแข็งไม่ยอมให้ “ทหาร” ยุ่มย่ามกับการเมือง กองทัพต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลพลเรือน

ประเทศไทยยังไกลจากจุดนั้น!?

 

ครั้งที่เกิด “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข ศาสตราจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกจิด้านทหารและความมั่นคง เคยชี้เอาไว้ว่า เศรษฐกิจจะแย่ ประเทศจะถอยหลัง โรงงานจะปิด คนจะตกงาน แต่ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหารซ้ำในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แทบไม่ต้องทำนายอนาคตกันอีก

การปล่อยให้ทหารสถาปนาสิ่งที่เรียกกันว่า “รัฏฐาธิปัตย์” แล้วจำนนกันทั้งแผ่นดินนั้นนำไปสู่ความหายนะ ระบบยุติธรรมพิกลพิการ ระบบความคิดในสังคมผิดเพี้ยนกันตั้งแต่ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม บัดนี้ไม่เว้นกระทั่งด้านสาธารณสุข

อภิสิทธิ์ชนเติบใหญ่ การทุจริตคอร์รัปชั่นหยั่งลึกและขยายวงกว้าง ความเหลื่อมล้ำรุนแรง รวยกระจุก จนกระจายกันทั่วหน้า

 

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เริ่มต้นด้วยการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ที่มาจากรัฐประหาร จากนั้นก็จัดให้คนออกมาร้องเพลงบอกว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน…ความสุขจะคืนกลับมา” เริงร่าและหลงเชื่อกัน ขณะที่เครือข่ายบริวารสมคบคิดสร้าง “ทางด่วนอำนาจ” ส่งประยุทธ์ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกภายหลังเลือกตั้งปี 2562 ภายใต้กติกาที่ถูกเรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

วันนี้คนที่เกิดในปี 2540 อายุ 24 เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เห็น “ประยุทธ์” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว 7 ปีกว่า เห็นบ้านเมืองถอยหลัง เห็นเศรษฐกิจเสื่อมทราม คนรุ่นนี้จึงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม “ไม่มีสิทธิต่อต้าน” หรือวิจารณ์

เพียงแค่จะ “เดินผ่าน” เส้นทางหน้าบ้านพักประยุทธ์ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในค่ายทหารเป็นกิโลเมตรยัง “ต้องห้าม” ถึงกับต้องมี “กองกำลังตำรวจ” พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ครบครันทั้งรถ “จีโน่” ฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี แก๊สน้ำตา ปืนลูกซองกระสุนยาง เข้าปะฉะดะกับประชาชน

เหตุใด 7 ปีมานี้ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยถึงไม่กล้าออกมาอยู่ “นอกค่ายทหาร”

แล้วผิดตรงไหนที่ผู้คนจะไถ่ถามถึงความถดถอยใน 7 ปี!

 

ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 22 พฤษภาคม 2557 ทหารคณะหนึ่งซึ่งฝักใฝ่ทางการเมืองได้ทำความเสียหายกับประเทศชาติจนยากจะฟื้นฟูเยียวยา อีกทั้งเมื่อมาเจอ “วิกฤตโควิด-19” ซ้ำเข้าประยุทธ์ยังทำความผิดพลาดร้ายแรงซ้ำอีก ทำไมคนหนุ่ม-สาวเยาวชนซึ่งมองเห็น “หายนะแห่งอนาคต” จะทวงถามจากรัฐผู้คร่ำครึไม่ได้

โลกทุกวันนี้ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิม เทคโนโลยีสื่อสารก้าวล้ำทันสมัย ทุกอย่างเปลี่ยนไป ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไรข้อมูลข่าวสารไหลบ่ารวดเร็วและท่วมล้น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สูญเสียบทบาท “เกตคีปเปอร์” เมื่อเยาวรุ่นเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยังจะมีอะไรมา “ปิดบัง”

แม้กระทั่งสำนวน “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิด” ก็ยังคงน้อยไป การดันทุรังอยู่ของ “ประยุทธ์” มีแต่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย

 

ในยุคสมัยการสื่อสารกว้างไกลสุดขอบฟ้านี้ “เยาวรุ่น” กว่า 10 ล้านคน (อายุระหว่าง 14-29) ลงมือค้นคว้าศึกษาแค่อึดใจก็จะเข้าใจประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เป็น “บาดแผล” ของสังคมไทยได้ไม่ยาก มองปราดเดียวก็รู้เล่ห์เพทุบาย “รัฐสายพันธุ์ทหาร”

ทั้งๆ ที่ไม้ใกล้ฝั่งพวกนั้นกำลังทำเพื่อรักษาอำนาจตัวเองและพวกพ้อง แต่ตีฆ้องร้องป่าวอวดอ้างความรับผิดชอบต่อประเทศ แค่มีใครตั้งข้อสงสัย ทวงถาม ขอตรวจสอบ ยังยอมไม่ได้ที่จะต้อง “แบบัญชีทรัพย์สิน” ต่อสาธารณะ

ในฐานะประชากร “เยาวรุ่น” จะต้องนับให้เป็น “กำลังแห่งอนาคต” ของชาติ แต่กับเพียงแค่ความต้องการแชร์ หรือขอส่วนแบ่งที่เป็นธรรม จากระบบการศึกษา จากระบบเศรษฐกิจ ระบบสาธารณสุข ระบบยุติธรรม และจากระบบการเมืองการปกครอง รัฐสายพันธุ์ทหารถึงกับต้อง “กดหัว” เอาไว้ด้วยอำนาจ หรือไม่ก็ “ปราบ” ด้วยกลไกยุติธรรม

ประชาธิปไตยต้องการ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” กับ “การเคารพกฎหมาย”

“รัฐประหาร” ทำลายทั้งสองอย่าง

 

ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549-22 พฤษภาคม 2557 รัฐสายพันธุ์ทหารประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการ “แยกปลาออกจากน้ำ” ทหารกับตำรวจผนึกแน่น แบ่งหน้าที่กันทำตามระดับความเข้มของสถานการณ์

ทหารกับตำรวจยืนคนละฝั่งกับคนเห็นต่างที่ลุกขึ้นท้าทายรัฐบาล

รัฐสายพันธุ์ทหารวางพล็อตเรื่องนี้มานานแล้ว คล้ายๆ กับความเชื่อเมื่อหลายพันก่อนปีว่า จะมีชีวิตอมตะ ไม่มีวันตาย เมืองทรอยไม่มีวันแตกได้ด้วย “ม้าไม้” ไม่มีการเมืองใหม่ ไม่มีระเบียบใหม่ ไม่มีคนรุ่นใหม่

ความคิดและปฏิบัติการที่อหังการเช่นนี้นับเป็นแรงกดดันให้เกิด “เยาวรุ่นทะลุเพดาน”!?!!