ยานยนต์ สุดสัปดาห์ : ‘ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี’ อัตราเร่งเยี่ยม-คล่องตัวเลิศ

สันติ จิรพรพนิต

 

‘ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี’

อัตราเร่งเยี่ยม-คล่องตัวเลิศ

 

ได้ยินเสียงลือ เสียงเล่าอ้าง ของน้องนักข่าว “ข่าวสด” ที่ไปทดสอบ “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี” (Honda City Hatchback E:HEV) รถยนต์พลังงานไฮบริด ที่เปิดตัวไปไม่นานมานี้

ทั้งชื่นชม และประทับใจอยู่ไม่น้อย

รวมถึงเพื่อนๆ วงการสื่อยานยนต์ ส่วนใหญ่วิจารณ์ไปทางบวกเสียมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซิตี้ แฮทช์แบ็ก รุ่นเครื่องยนต์ธรรมดา

ผมเองรู้สึกตงิดๆ เพราะบอดี้ทั้ง 2 รุ่นก็เหมือนกัน ภาพรวมต่างๆ แทบไม่ต่างกัน ทำไมส่วนใหญ่ถึงชอบเมื่อยามอยู่หลังพวงมาลัยของซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี มากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ธรรมดา

จะฟังอย่างเดียวก็ใช่ที่ เมื่อมีโอกาสจึงขอหยิบยืมมาลองของเสียหลายวัน

มาดูรูปร่างหน้าตากันคร่าวๆ ก่อนเพราะหลายท่านคงเห็นชินตาบนท้องถนนแล้ว

ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี มาพร้อมชุดแต่ง RSž

ภาพรวมเหมือนกับซิตี้ แฮทช์แบ็ก ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น จุดสังเกตง่ายๆ คือโลโก้ Hž จะมีขอบสีฟ้า

กระจังหน้าแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam : AHB) ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED

ชายด้านหน้าเป็นลายเคฟล่า

กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว โดยกระจกด้านซ้ายติดตั้งกล้อง เมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายภาพด้านข้างจะแสดงที่จอด้านในรถ เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

ด้านท้ายทรงสวยทีเดียว ไฟเป็น LED เช่นเดียวกัน ด้านบนเป็นเสาอากาศครีบฉลาม

ล้ออัลลอยแบบสปอร์ตรมดำขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง Yokohama Bluearth A 185/55

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,748 x 4,349 x 1,488 ม.ม. ฐานล้อ 2,589 ม.ม.

 

ภายในแต่งแบบ RSž เช่นกัน เน้นโทนดำตัดขอบแดง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นเดินด้ายแดง ฝั่งซ้ายควบคุมเครื่องเสียง และด้านขวาตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control มีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift

เรือนไมล์ขนาดใหญ่เห็นชัดเจน จอแสดงข้อมูล MID multi information display

ขยับมาตรงกลางเป็นจอขนาด 8 นิ้วระบบสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps เชื่อมต่อ USB และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI ลำโพง 8 ตัว

แอร์อัตโนมัติ พร้อมเจาะช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังให้ด้วย

คันเกียร์ขนาดกระชับมือ ใกล้กันเป็นเบรกมือไฟฟ้า และปุ่ม Auto Brake Hold

เบาะนั่งผสมกันระหว่างไวนิลและผ้า ตัดขอบด้ายสีแดงเพิ่มความสปอร์ต

แป้นคันเร่งและเบรกติดตั้งกันลื่นมาให้ด้วย

แน่นอนว่าจุดเด่นของฮอนด้า 5 ประตู โด่งดังมาสมัย 5 ประตูรุ่นพี่อย่าง “แจ๊ซ” ไม่พ้นเบาะหลังแบบ “อัลตร้า ซีต” ปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ ทั้งพับราบเพิ่มพื้นที่บรรทุก หรือดึงที่นั่งพับขึ้นเพื่อใส่ของที่มีความสูง

ถึงแม้ไม่พับเบาะหลังลง แต่พื้นที่เก็บของยังมีให้มากพอสมควร

ถึงเวลาลองของกันแล้ว กดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์เงียบกริบตามประสาเครื่องยนต์ลูกผสมไฮบริด

ขุมพลังรุ่นนี้เป็น Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (I-MMD) ระบบ Full Hybrid เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC I-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบ่งทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า และขับเคลื่อน กำลังรวม 109 แรงม้า แรงบิด 253 นิวตันเมตร

ระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

กุญแจรีโมตมีระบบสตาร์ตรถและเปิดแอร์ล่วงหน้า ในไทยเหมาะอย่างยิ่งเพราะอากาศร้อน ยิ่งจอดกลางแดด สยองขวัญมากเวลาเปิดประตูเข้าไป

อีกคุณสมบัติของรีโมตคือหากผู้ขับขี่ลืมล็อกรถ เมื่อเดินออกมาได้ระยะหนึ่งรถจะล็อกเองอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลว่าลืมล็อกรถหรือเปล่า

หากขับแบบช้าๆ ไปเรื่อยๆ การขับเคลื่อนยังเป็นระบบไฟฟ้าขับเคลื่อนอยู่ แต่ไม่ได้นานนัก อีกทั้งปกติคงไม่มีใครขับเอื่อยๆ กระมัง ทำให้แค่แวบเดียวเครื่องยนต์ต้องเข้ามาช่วยแล้ว

บอกเลยว่าประทับใจสุดๆ ซึ่งไม่แปลกเพราะเป็นรถไฮบริด ทำให้แรงบิดมาเร็วมาก

พุ่งวาบชนิดหลังติดเบาะ

พูดถึงเบาะต้องบอกว่านั่งได้สบายทีเดียว ปีกเบาะโอบสรีระได้ดี ไม่มีปัญหาเวลารถเหวี่ยงตอนกระชากเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้งแรงๆ

ส่วนเบาะหลังจากที่ลองเข้าไปนั่งก็สบาย เบาะนุ่ม แต่เพดานต่ำไปสักนิด ผมมีความสูง 170 ซ.ม. หากนั่งท่าปกติเหลือพื้นที่เหนือศีรษะนิดหน่อย

ใครตัวสูงต้องนั่งหลังเอนหน่อย แต่ไม่มีปัญหาเพราะเลกรูมเหลือเฟือแม้ปรับเบาะปกติสำหรับการขับขี่ของเบาะหน้า ทำให้ขยับท่าทางได้ง่าย

ย่านความเร็วกลางถึงสูงมาได้ฉับไวเช่นกัน เพียงแต่มีเสียงเครื่องยนต์และลมเข้ามาพอสมควร

กระนั้นเครื่องเสียงจากลำโพง 8 ตัว พอกล้อมแกล้มทำให้ความน่ารำคาญลดลง

 

ช่วงล่างแบบยอดนิยมแม็กเฟอร์สันสตรัต และด้านหลังทอร์ชั่นบีม แต่เซ็ตมาได้หนึบแน่นมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติ

และอีกส่วนอาจมาจากน้ำหนักที่มากขึ้นอีก 50 ก.ก.ของแบตเตอรี่

แต่เอาเป็นว่าทำให้รถมั่นคงมากขึ้น จะเข้าโค้ง กระชากเปลี่ยนเลน ไม่วูบวาบให้ตกใจ

พวงมาลัยน้ำหนักกำลังเหมาะ คมปานกลาง

ส่วนระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ด้านซ้ายช่วยได้เยอะ เพราะหากมองเฉพาะกระจกอาจกะระยะผิดพลาดได้

เวลาเข้าเกียร์ถอยมีกล้องส่องภาพด้านหลัง ปรับมุมมอง 3 ระดับ

ระบบตัวช่วยต่างๆ ถือว่าให้มามากพอสมควร อาทิ ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)

และไม่พลาดกับระบบความปลอดภัย Honda SENSINGž มีกล้องติดตั้งที่กระจกหน้า ตรวจจับวัตถุบนท้องถนน พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ตามความเร็วรถคันหน้า แต่ไม่ถึงกับจุดหยุดนิ่ง

ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก

ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ ฯลฯ

 

ความคล่องตัวผมให้ 10/10 ด้วยบอดี้ขนาดกำลังเหมาะ เป็นรถท้ายตัด การกะระยะถอยหรือตีวงเลี้ยวง่ายมากๆ

ช่วงการทดสอบเวลามุดซ้าย ป่ายขวา มันช่างคล่องตัวเสียเหลือเกิน

โดยภาพรวมความเห็นส่วนตัวถือว่าเป็นรถที่สวย ภายในออกแบบให้ใช้อรรถประโยชน์ครบๆ

ที่สำคัญทั้งประหยัดและรักษ์โลก ตามสเป๊กประหยัดน้ำมันสูงสุด 27 ก.ม./ลิตร เติมน้ำมันสูงสุด E20

แต่หากใช้งานจริงความประหยัดน่าจะไม่ถึง แต่ถ้าไม่เท้าหนักเกินไประดับ 20 ก.ม.ลิตร มีแน่ๆ

ลองตัดสินใจดูกับ “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี” ค่าตัว 849,000 บาท