Red Hot Chili Peppers พลิกฟอร์มตัวเอง The Getaway

ผลงานชุดที่ 11 ของวงร็อกอเมริกัน Red Hot Chili Peppers ในชื่อว่า The Getaway ได้รับการตอบรับด้านบวกจากนักวิจารณ์ หลายคนทุบโต๊ะลงความเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงจากผลงานที่ผ่านมา หลายจุด

ในเชิงการขายถือว่าไปได้สวย ด้วยอันดับ 2 ในชาร์ตอัลบั้มทั้งของบิลบอร์ดและในอังกฤษ เข้าอันดับ 1 ที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อันดับ 1 ในหลายประเทศทางยุโรป ทั้ง ฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ อิตาลี ไอร์แลนด์ ส่วนเยอรมนี มาเป็นอันดับ 2

มือกีตาร์ในผลงานชุดนี้ ยังคงเป็น จอช คลิงฮอฟเฟอร์ ที่เข้ามาแทน จอห์น ฟรัสซิแอนเท เมื่อปี 2009 และประเดิมฝีมือในอัลบั้มก่อนหน้านี้ คือ I”m with You ออกเมื่อปี 2011

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของสมาชิกวงที่จะทำอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม

นำไปสู่การตัดสินใจเลือกใช้งาน ไบรอัน เบอร์ตัน หรือ “แดนเจอร์ เมาส์” เป็นโปรดิวเซอร์

หลังจากที่ใช้บริการของยอดฝีมืออย่าง “ริก รูบิน” มาอย่างต่อเนื่องถึง 25 ปี ตั้งแต่อัลบั้มปี 1991 ที่ชื่อว่า Blood Sugar Sex Magik

อัลบั้มมิกซ์โดย ไนเจล ก็อดริช ที่ทำงานให้กับเรดิโอเฮด

ส่วนไลน์อัพของ RHCP ยังคงประกอบด้วย ฟลี เจ้าเก่าในตำแหน่งเบส และเปียโน ร้องแบ็กอัพและทรัมเป็ต, แอนโธนี เคียดิส ร้องนำ, แชด สมิธ กลองและเพอร์คัสชั่น และกีตาร์ จาก จอห์น คลิงฮอฟเฟอร์

การใช้โปรดิวเซอร์ใหม่ น่าจะเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า นักวิจารณ์หลายคนชี้ว่า ทำให้เกิดความแตกต่างในระดับสำคัญ โดยเฉพาะในด้านของดนตรี ออกมา ภายใต้แดนเจอร์เมาส์ มือกีตาร์ใหม่ คือ คลิงฮอฟเฟอร์ สามารถผสมผสานเข้าขากับสมาชิก 3 คนในวงและสร้างสรรค์ซาวด์ใหม่ๆ ออกมาได้อย่างลงตัว

 

อีกประเด็นที่ว่ากันว่ามีส่วนขับเคลื่อนอัลบั้มนี้ ให้มีรสชาติพิเศษขึ้นมา ได้แก่ การเลิกราอย่างอื้อฉาวเกรียวกราวของ เคียดิส ฟรอนต์แมน หนุ่มใหญ่วัย 53 กับซูเปอร์โมเดล วัย 22 ปี เฮเลนา เวสเตอร์การ์ด ที่เริ่มคบกันมาตั้งแต่ปี 2013 ขณะนางแบบสาวอายุ 19 ปี สื่อดนตรีรายงานว่า เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงของอัลบั้มนี้

13 เพลงในชุดนี้ โชว์ทีมเวิร์กของ RHCP ที่มุ่งทำงานไปในทางเดียวกัน ที่เด่นๆ มีอย่าง The Getaway ไตเติลแทร็ก ที่กระหึ่มด้วยบีต มีกลิ่นอายของดิสโก้ มี “แอนนา วารองเกอร์” นักร้องสาวและมือกีตาร์แห่งวงร็อกอเมริกัน That Dog มาร่วมร้องด้วย เสียงประสานตอนท้ายเพลงทำให้เกิดสีสันใหม่ๆ

โดดเด่นด้วยเบสเด้งๆ ในแบบฟังกี้ Dark Necessities เพลงดัง ซิงเกิลแรกของชุดนี้ ที่สร้างสถิติกลายเป็นซิงเกิลที่ 25 ของวง ที่ติดอันดับท็อปเท็นในชาร์ตอัลเทอร์เนทีฟของบิลบอร์ด

โดยมี Go Robot เป็นซิงเกิลที่สอง บรรยากาศของอิเล็กโทรจากปี 1980 ซึ่งฟลีบอกว่าเป็นเพลงฟังกี้สนุกๆ แจมกันในจังหวะเร็วๆ ด้วยแรงบันดาลใจจากเพลง Controversy ผลงานของ “พรินซ์” ผู้ล่วงลับ

เพลงอื่นๆ ที่น่าสนใจ ยังมี We Turn Red ที่มีซาวด์บางตอนทำให้รำลึกถึงอัลบั้มดัง Californication เมื่อปี 1999, ที่ไม่น่าพลาดอีกเพลง กีตาร์เด่นๆ กับท่วงทำนองแบบบัลลาด คือ The Longest Wave

เอลตัน จอห์น มาช่วยเล่นเปียโนในเพลง Sick Love ซึ่งมีทำนองคล้ายกับเพลงดังปี 1973 ของ เอลตัน จอห์น นั่นคือ Bennie and the Jets ทางวงเลยใส่ชื่อของจอห์นกับนักแต่งเพลงคู่หูของจอห์น เบอร์นี เทาพิน เป็นผู้ร่วมแต่งเพลงนี้ด้วย

เพลง The Hunter ที่คลิงฮอฟเฟอร์มาเล่นเบส ซึ่งเพื่อนในวงบอกว่า เสียงราวกับที่ พอล แม็กคาร์ตนีย์ เล่น และเป็นเพลงเดียวในชุดนี้ที่ฟลีไม่ได้เล่นเบส

13 เพลง ในชุดนี้ เริ่มจาก The Getaway, Dark Necessities, We Turn Red, The Longest Wave, Goodbye Angels, Sick Love, Go Robot, Feasting on the Flowers, Detroit, This Ticonderoga, Encore, The Hunter, Dreams of a Samurai

เที่ยวนี้จัดเสียงร้องกับสัดส่วนของดนตรีแต่ละชิ้นให้ผลัดกันโชว์เด่น โดยพลังกระชากของเบสยังไม่หายไป ซาวด์หลากหลายน่าฟัง