เครื่องเคียงข้างจอ : ความประทับใจจากโตเกียวเกมส์ 2020 / วัชระ แวววุฒินันท์

 

ความประทับใจจากโตเกียวเกมส์ 2020

 

ปิดฉากไปแล้วสิบกว่าวันสำหรับมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิกเกมส์ 2020” ซึ่งต้องถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของการจัดกีฬาอันยิ่งใหญ่นี้ว่าต้องเผชิญกับโจทย์ที่ยากเข็ญอย่างไรบ้าง

และญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ประกาศว่า การที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 นั้น คือการแสดง “ความรับผิดชอบ” ของญี่ปุ่นในอันที่จะดำเนินการจัดการแข่งขันให้จงได้ โดยมีมาตรการเข้มงวดมากมาย

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการแสดงพิธีปิดการแข่งขัน ที่เหมือนจะเป็นการฉลองความสำเร็จของญี่ปุ่นในการผลักดันการจัดการแข่งขันให้ลุล่วงจนได้

และในการแข่งขันครั้งนี้ ได้เกิด moment ที่น่าประทับใจชวนซาบซึ้งให้พูดถึงอยู่หลายเหตุการณ์ จะลองเรียบเรียงถ่ายทอดมาให้ได้รำลึกกันดังนี้ครับ

 

แน่นอนครับสำหรับคนไทย moment ที่สร้างความสุขและความประทับใจสุดๆ ก็คือ “7 วิพลิกชีวิต” ของน้องเทนนิส กับเหรียญทองเทควันโดหญิงรุ่น 49 ก.ก.นั่นเอง

moment ตรงหน้าว่าสุดๆ แล้ว แต่เบื้องหลังของกว่าจะมาเป็น moment นี้ ก็ยิ่งประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งเรื่อง 19 ปีของโค้ชเชกับความมุ่งมั่นในการสร้างให้นักกีฬาของเขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ ทั้งเรื่องที่กว่าจะคว้าเหรียญนี้มาได้ของน้องเทนนิสเองที่ต้องผิดหวังมาแล้วในโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมา และในครั้งนี้ก็มีเจ้าโควิด-19 มาเป็นตัวอุปสรรคใหญ่อีก

และแน่นอนกับการกระชากเหรียญทองจากมือของคู่แข่งชาวสเปนมาได้ใน 7 วินาทีสุดท้าย เรียกว่าเล่นเอาคนไทยทั้งประเทศแทบหัวใจวายทีเดียว

moment ต่อมาก็ยังคงอยู่กับนักกีฬาไทย คือ “น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์” กับแมตช์ในรอบ 8 คนสุดท้ายกับคู่แข่งชาวไต้หวัน “ไต้ จื่อ อิง” ซึ่งคู่นี้ขับเคี่ยวกันมาหลายหนแล้ว ผลัดกันแพ้ชนะ และในครั้งนี้ถึงแม้น้องเมย์จะพ่ายแพ้ไปอย่างหวุดหวิดด้วยสกอร์ 2-1 เซ็ต แต่ก็เป็นการประฝีมือกันอย่างสนุกสุดๆ พลิกไปพลิกมา ชิงไหวชิงพริบ ชิงจังหวะกันอย่างสนุกและตื่นเต้น

ส่วน moment ที่จะพูดถึงคือช็อตที่ทั้งคู่สู้กันหลายช็อตมากจนสุดท้ายจบลงด้วยภาพที่ทั้งสองต่างนอนแผ่หลาหมดแรงกับพื้นสนามอยู่เป็นเวลาพักใหญ่ เชื่อว่าถ้ามีคนดูในสนามตามปกติ moment นี้จะต้องได้รับเสียงปรบมือกระหึ่มทั้งฮอลล์แน่นอน

และ moment นี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้นักวาดการ์ตูนได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพน่ารักๆ หลายแบบ

และนี่คือส่วนหนึ่งของความน่ารักที่ว่านี้

 

 

moment ต่อมาก็ยังเกี่ยวพันกับนักกีฬาไทยอยู่ แต่เป็นกีฬามวยหญิงรุ่น 60 ก.ก. นั่นคือ “น้องแต้ว-สุดาพร สีสอนดี” ที่พ่ายคู่แข่งชาวไอร์แลนด์ “เคลลี่ แฮร์ริงตัน” ในรอบตัดเชือก ผลการแข่งขันคือน้องแต้วแพ้ ได้รับเหรียญทองแดงมาครอง

ในตอนที่ขึ้นโพเดียมรับเหรียญทั้งสี่คน คือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง 2 คน นักชกที่ได้เหรียญทองคือ “เคลลี่ แฮร์ริงตัน” จากไอร์แลนด์ ได้ดึงให้นักชกอีก 3 คนมายืนรวมกันบนแท่นเบอร์ 1 โดยเธอบอกว่า “แท้จริงแล้ว ทุกคนคือผู้ชนะ”

เป็นความคิดที่งดงามของนักกีฬาคนหนึ่งที่มีให้กับคู่แข่ง ที่จริงๆ แล้วทุกคนคืออุปสรรคที่จะแย่งเหรียญทองไปจากเธอ แต่ลึกๆ ของนักกีฬาที่ลงแข่งขันในโอลิมปิกครั้งนี้นั้น ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาและเธอต้องเผชิญกับความยากลำบากแค่ไหนกับเหตุการณ์ไม่ปกติจากโควิด ตั้งแต่การเก็บตัวฝึกซ้อมที่ไม่ปกติ การเดินทางมาแข่งขันที่ไม่ปกติ การทำการแข่งขันที่ไม่ปกติ

มันช่างอุดมไปด้วยขวากหนามและความเครียดจริงๆ

 

และ moment ต่อมา เชื่อว่าหลายคนคงทราบกันดีแล้ว คือ moment จากการร่วมรับเหรียญทองร่วมกันของนักกีฬากระโดดค้ำถ่อชาวอิตาลี “จีอันมาร์โค ตัมเบรี” และชาวกาตาร์ “มูทาซ เอสซา บาร์ชีม”

ทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นคู่ปรับตลอดกาลที่ขับเคี่ยวในกีฬากระโดดค้ำถ่อในรุ่นเดียวกันมา ด้วยความหวังว่าสักวันต้องคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาครองให้ได้

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ คนที่เป็นคู่ปรับได้ให้คำแนะนำ ความช่วยเหลือและกำลังใจให้ลุกขึ้นสู้ต่อ จนกลายเป็นคู่ซี้ของกันและกัน ต่างมีมิตรภาพที่ดีหยิบยื่นให้แก่กัน

จนมาถึงโอลิมปิก 2020 นี้ ทั้งคู่ทำคะแนนแต่ละรอบได้อย่างดีและสุดท้ายหลังแข่งกันนานร่วม 2 ชั่วโมง ก็มาทำความสูงเสมอกันที่ 2.37 เมตร ทางเลือกคือ แข่งกันใหม่เพื่อหาผู้ชนะคนเดียว หรือครองเหรียญทองร่วมกัน

เมื่อกรรมการแจ้งกติกานี้ให้นักกีฬาฟัง ทั้งสองก็ถามกลับว่าครองเหรียญร่วมกันได้จริงเหรอ เมื่อกรรมการยืนยัน ทั้งคู่ก็เหมือนบรรลุทุกอย่างในชีวิต ทั้งการได้ครองเหรียญทองโอลิมปิกสมความตั้งใจ ทั้งการได้เหรียญพร้อมเพื่อนรักที่มีมิตรภาพให้กันอย่างยอดเยี่ยม

ภาพที่ทั้งสองกระโดดกอดกันด้วยความดีใจยิ่งจึงเป็น moment ที่ประทับใจผู้ชมจากทั่วโลก

 

moment ต่อมายังเป็นกรีฑาแต่เป็นประเภทลู่ในการแข่งขันวิ่ง 800 เมตร เมื่อ “ไอซายห์ จิวเวตต์” จากสหรัฐ และ “ไนเจล เอโมส” จากบอตสวานา วิ่งมาชนกันล้มลง ในขณะที่ต่างตะบึงเพื่อต่อสู้กับนักวิ่งคนอื่นๆ เหตุการณ์ที่น่าประทับใจคือ พวกเขาช่วยพยุงกันขึ้นมา และวิ่งเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน แม้ผลการแข่งขันจะออกมาว่าพวกเขาทำเวลาตามหลังผู้ชนะถึง 54 วินาที แต่พวกเขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า เรื่องผลการแข่งขันไม่สำคัญเท่ากับมิตรภาพระหว่างนักกีฬาด้วยกัน

ช่างเป็นความประทับใจที่งดงามเสียจริงๆ

 

moment ต่อมาเป็นของนักกีฬายูโดชาวญี่ปุ่น คือ สองพี่น้องตระกูลอาเบะ ชื่อ “ฮิฟูมิ” พี่ชาย และ “อุตะ” น้องสาว ทั้งคู่ลงแข่งขันยูโดและได้เหรียญทองไปครองทั้งคู่ ความประทับใจคือเบื้องหลังของความสัมพันธ์ของสองพี่น้องนี้

ฮิฟูมิ คนพี่เริ่มฝึกยูโดตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จากการที่แพ้เด็กผู้หญิง ทำให้เขามุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้ และพัฒนาฝีมือจนสามารถคว้าทุกแชมป์ในระดับเยาวชน ส่วนอุตะไม่ได้มุ่งมั่นเล่นยูโดเหมือนพี่ชาย เพียงแต่เห็นพี่เล่นก็เล่นตามเท่านั้น เวลาแข่งขันก็มักจะแพ้มากกว่าชนะ

จุดที่ทำให้เกิด moment นี้คือวันที่ประกาศว่าญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก 2020 พ่อของทั้งสองพูดว่า “คงจะดีนะ ถ้าลูกทั้งสองได้เข้าแข่งขันในโอลิมปิกพร้อมๆ กัน”

นั่นทำให้ฮิฟูมิประกาศออกมาว่า จะคว้าเหรียญทองมาให้ได้ เมื่อเห็นพี่ชายประกาศ อุตะผู้น้องก็ประกาศตามพี่ชายเช่นกัน แค่ประกาศน่ะง่าย แต่ลงมือทำนั้นแสนยาก แค่การลงแข่งขันเพื่อไต่อันดับให้ได้สิทธิ์ลงแข่งขันก็สาหัสแล้ว เพราะมีนักยูโดร่วมชาติที่เก่งมากมาย แต่ในที่สุดทั้งสองคนก็ทำแต้มสะสมเอาชนะคู่แข่งจนคว้าตั๋วลงแข่งขันได้สำเร็จ

ทั้งคู่เอาชนะคู่แข่งมาได้ในแต่ละรอบจนได้เข้าชิง โดยอุตะผู้น้องลงชิงชัยเหรียญทองในรุ่น 52 ก.ก.หญิงกับนักกีฬาชาวฝรั่งเศสมือวางอันดับ 1 ของรายการที่เธอเคยพ่ายแพ้มาก่อน และในครั้งนี้อุตะก็เอาชนะคู่แข่งนี้ลงได้ในช่วงท้ายด้วยแต้มโกลเด้นพอยต์

อุตะทำสำเร็จ คว้าเหรียญทองมาครองได้ก่อนที่พี่ชายจะลงแข่งครึ่งชั่วโมงในการชิงเหรียญทองรุ่น 66 ก.ก.ชาย นับว่าเป็นความกดดันของฮิฟูมิอย่างมาก เขาตระหนักว่าชัยชนะของเขาไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องสาวให้ได้มีความสุขอย่างแท้จริงด้วย

และสุดท้ายฮิฟูมิก็เอาชนะคู่แข่งชาวจอร์เจียลงได้ เป็นความสำเร็จที่มาจากคำพูดเล่นๆ ในปี 2013 และพวกเขาทำได้ใน 8 ปีต่อมา

 

หากจะว่าไปแล้ว ความสำเร็จของนักกีฬาที่ลงแข่งขันในโอลิมปิกครั้งนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะที่สามารถคว้าชัยชนะหรือเหรียญทองมาครองได้เท่านั้น แม้จะพ่ายแพ้และผิดหวังก็ยังสามารถเกิด moment ดีๆ ที่น่าประทับใจได้

ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมาจากมิตรภาพที่มีต่อกันระหว่างนักกีฬาด้วยกัน ระหว่างนักกีฬากับโค้ช ระหว่างนักกีฬากับครอบครัว ซึ่งเป็นความงดงามที่ดีกว่าการมุ่งเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว

โอลิมปิกครั้งนี้ได้บอกเรื่องนี้กับโลก และโลกจะเรียนรู้เรื่องของการอยู่ร่วมกัน มีมิตรภาพต่อกัน โดยไม่หวังเพียงชัยชนะ หรือผลประโยชน์ได้เมื่อไหร่ ยังคงเป็นคำตอบที่อยู่ไกลเสียนักแล้ว

ลาก่อนโตเกียวเกมส์ 2020 ที่ทำได้สำเร็จอย่างงดงาม อีก 3 ปีเราจะได้เรียนรู้อะไรกับปารีสเกมส์ 2024 บ้าง ต้องติดตาม