กระสุนยาง-กระสุนจริง/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

กระสุนยาง-กระสุนจริง

 

เหตุการณ์ปะทะกันอย่างถี่ยิบ ระหว่างผู้ชุมนุมเด็กรุ่นใหม่กับเจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมดินแดน ใจกลางเมืองกรุง ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่นำเอาตู้คอนเทนเนอร์ไปตั้งวางดุจกำแพงป้องกันไม่ให้ม็อบเดินทางผ่านไปยังพื้นที่บ้านนายกรัฐมนตรีได้

เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ท้าทายพลังมวลชน จนเป็นชนวนทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นสมรภูมิการปะทะในแทบทุกวัน

เมื่อปะทะกันทุกวัน อารมณ์ความโกรธแค้นเกลียดชังก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ดีกรีความรุนแรงก็ทวีมากขึ้น

กรณีนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท ผู้ประกาศเป็นสลิ่มกลับใจ เข้าร่วมกับม็อบคนรุ่นใหม่เพื่อขับไล่นายกฯ แล้วเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ถล่มแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่ขบวนผู้ชุมนุมที่บริเวณใกล้ตู้คอนเทนเนอร์สามเหลี่ยมดินแดงดังกล่าว

จนไฮโซลูกนัทได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกของแข็งยิงเข้าบริวณเบ้าตาเลือดอาบ และมีแนวโน้มสูงว่าจะสูญเสียดวงตาข้างขวา

จากนั้นยังเกิดเหตุผู้ชุมนุมถูกกระสุนจริงยิงบาดเจ็บ 2-3 ราย ในเหตุอลหม่านหน้า สน.ดินแดง ในตอนมืดค่ำ

ในจำนวนนี้ที่บาดเจ็บสาเหตุเป็นเด็กนักเรียนวัย 15 ปี กระสุนไปค้างที่ก้านสมอง ถือว่าเป็นอาการที่วิกฤตอย่างมาก!

นั่นยิ่งทำให้ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ คฝ.ยิ่งตกเป็นจำเลยของสังคม จึงมีแต่จะต้องเร่งการสืบสวนหาพยานหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีให้ได้ว่า มีใครกันแน่ที่ใช้ปืนกระสุนจริง ในเหตุชุลมุนระหว่างเจ่าหน้าที่ คฝ.กับผู้ชุมนุม

ทั้งที่โดยหลักปฏิบัติแล้ว หน่วยควบคุมฝูงชน หรือเดิมทีที่เรียกกันว่าหน่วยปราบจลาจลนั้น จะต้องไม่มีการพกพาอาวุธปืนกระสุนจริงติดตัวเป็นอันขาด

อาวุธที่หน่วยนี้มีใช้ มีเพียงกระบอง สเปรย์พริกไทย ปืนยิงแห แก๊สน้ำตา กระสุนยาง

ขณะเดียวกันเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ คฝ. ได้รับการออกแบบป้องกันตัวอย่างเต็มที่ ทั้งหมวกปกคลุมถึงคอ เครื่องป้องกันความเจ็บปวดต่างๆ รวมทั้งโล่ หลักการก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ คฝ.ถูกผู้ชุมนุมขว้างปาของแข็งเข้าใส่ จะสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บหรือเจ็บปวดได้ เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์โกรธแค้น แล้วหลุดอารมณ์รุนแรงใส่มวลชน

ดังนั้น ในพื้นที่การชุมนุมประท้วง หากเกิดการปะทะกัน จะต้องมีเพียงกระบอง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ไม่ควรมีกระสุนจริงเกิดขึ้น

กรณีผู้ชุมนุมถูกกระสุนจริงยิงจนบาดเจ็บขั้นโคม่า จึงต้องเร่งหาความกระจ่างว่า เกิดจากมือใครกันแน่!?

 

ย้อนไปดูเหตุการณ์สลายม็อบ ในกรณีการประท้วงใหญ่ของประชาชน จะพบว่า ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น การปะทะกับผู้ชุมนุม ผู้นำรัฐบาลขณะนั้นก็คือรัฐบาลทหาร ใช้กำลังทหารพร้อมกระสุนจริงออกมายิงใส่ชาวบ้านกลางถนนราชดำเนิน จนเลือดท่วมนอง ประชาชนตายหมู่ไปกว่า 70 ชีวิต บาดเจ็บอีกมหาศาล

ต่อมาในเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชน 6 ตุลาคม 2519 ก็ใช้กองกำลังมวลชนฝ่ายขวาพร้อมอาวุธจริง ตามด้วยเจ้าหน้าที่พร้อมกระสุนจริง ล้อมถล่มผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตอย่างเปิดเผยไม่ต่ำกว่า 50 ราย

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เป็นการชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านนายกฯ หัวหน้ารัฐประหาร มีการใช้กำลังทหารออกมาปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างนองเลือด ด้วยกระสุนจริงอีกเช่นกัน เสียชีวิตไปครึ่งร้อย

ผลพวงจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 นำมาสู่การสรุปทบทวนบทเรียนมากมาย ของคณะกรรมการสอบสวนที่มีการตั้งขึ้นมาในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทบทวนเรื่องการปราบจลาจลในประเทศไทย

ในยุคนั้นพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลเพียงแค่หยิบมือ ไม่มีความพร้อมใดๆ

เมื่อเหตุประท้วงขยายตัวเป็นม็อบใหญ่ รัฐบาลก็จะสั่งทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ มาพร้อมปืนเอ็ม 16 กระสุนจริง

ในการสอบสวนมีระบุชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้กระสุนยางเพื่อควบคุมการชุมนุมประท้วงของประชาชน!!

รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ที่เข้ามาควบคุมและแก้ปัญหาขณะนั้น ได้มีมติข้อหนึ่งว่า ให้ยกเลิกกฎหมายที่ให้อำนาจทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ประท้วงในเมือง พร้อมกับให้จัดตั้งตำรวจหน่วยปราบจลาจลอย่างเต็มรูปแบบขึ้นมา

จากนั้นเองประเทศไทยจึงมีหน่วยปราบจลาจลตามมาตรฐานสากลเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการนองเลือดเข่นฆ่าประชาชน หากเกิดการประท้วงใหญ่

แต่ในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ ของเสื้อแดงในปี 2553 กลับมีการใช้ข้ออ้างว่า มีผู้ก่อการร้ายปะปนอยู่ในที่ชุมนุม มีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามต่อสู้ จึงมีคำสั่งให้ทหารเข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ พร้อมกระสุนจริง อ้างว่าเพื่อยิงป้องกันตัว

ลงเอยตายไป 99 ราย เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นส่วนใหญ่ และไม่มีศพไหนเลยที่มีอาวุธปืน ไม่มีศพไหนที่เป็นชายชุดดำ

ทั้งที่มติของ ครม.อานันท์เมื่อปี 2535 ห้ามไม่ให้ใช้ทหาร ให้มีเพียงตำรวจหน่วยปราบจลาจลตามมาตรฐาน ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางเท่านั้น

แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ พร้อมผู้นำกองทัพในขณะนั้นคือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการ

ด้วยข้ออ้างว่าเป็นการชุมนุมที่มีชายชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม แต่ลงเอยคนที่ถูกยิงตายด้วยกระสุนจริง ด้วยสไนเปอร์ ร่วมร้อยศพ ไม่มีศพไหนที่มีอาวุธเป็นผู้ก่อการร้ายเลย!

 

การชุมนุมประท้วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2563 แล้วมาชะงักไปในตอนต้นปี 2564 เมื่อโควิดระบาดหนักระลอกใหม่ แต่ระยะนี้กลับมาชุมนุมอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง เนื่องจากรัฐบาลได้ผิดพลาดในการจัดหาวัคซีน จนโควิดระบาด และเศรษฐกิจพังพินาศ

แม้จะยังคงใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ไม่มีการใช้หน่วยทหารออกมาร่วมปฏิบัติ แต่ปฏิบัติการก็เริ่มดุดันมากขึ้น มีการใช้กระสุนยางตั้งแต่เริ่มปะทะกันกับผู้ชุมนุม ใช้แก๊สน้ำตา ใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี ถล่มกันอย่างไม่มีรีรอ

ยิ่งทำให้อารมณ์มวลชนเพิ่มความโกรธแค้น การปะทะกันก็เริ่มเพิ่มระดับมากขึ้นไปทุกที

จนกระทั่งเกิดกระสุนจริงลั่นขึ้นในเหตุการณ์อลหม่าน จนเริ่มมีผู้บาดเจ็บรุนแรง

นั่นเป็นประเด็นที่จะต้องเร่งหาที่มาของกระสุนจริงดังกล่าว และทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สำคัญสุดคือทำอย่างไร ไม่ให้อุณหภูมิระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ คฝ.ถึงจุดปรอทแตกในทุกๆ วัน

ประเด็นสำคัญก็คือ รัฐบาลเองลอยตัวอยู่เหนือปัญหาการชุมนุมประท้วงของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ปล่อยให้หน่วย คฝ.ออกไปปะทะกับเด็กทุกวี่ทุกวัน

โดยผู้มีหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์ กลับไม่ทำอะไรเลย

แม้ว่าประเทศไทยเราจะพัฒนายกระดับการแก้ไขสถานการณ์ชุมนมประท้วงของประชาชน โดยใช้หน่วยงานที่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล แต่ใช้ คฝ.ไปเรื่อยๆ ความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีกระสุนจริงโผล่ออกมา

การชุมนุมประท้วงเป็นปัญหาทางการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง นั่นคือนายกฯ และรัฐบาลต้องคลี่คลายหาทางออก

เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน มีภารกิจเพื่อควบคุมเหตุเฉพาะหน้า รักษากฎหมาย เป็นเพียงปลายทาง

แต่ไม่ใช่หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่แก้ปัญหาการชุมนุมประท้วงอย่างถึงต้นตอต้นเรื่องแต่อย่างใด!!