อัฟกานิสถาน : การกลับมาของฏอลิบาน (2)/มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

อัฟกานิสถาน

: การกลับมาของฏอลิบาน (2)

 

ในช่วงที่มีการจัดตั้งกองกำลังฏอลิบานใหม่ๆ นั้น ฏอลิบานเองเคยให้สัญญาไว้ว่า เมื่อพวกตนมีอำนาจและยึดครองกรุงคาบูลได้ ก็จะให้มุญาฮิดีนกลุ่มต่างๆ ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในการต่อต้านโซเวียตได้มีส่วนร่วมอยู่ในการปกครองด้วย และจะเดินตามแผนสันติภาพที่เสนอโดยสหประชาชาติ

Norbert Holl ทูตพิเศษของสหประชาชาติถึงกับกล่าวว่ากองกำลังฏอลิบานพร้อมจะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ แต่ฏอลิบานจะไม่ขออภัยในการแขวนคอนาญีบุลลอฮ์ที่เคยอยู่ใต้การคุ้มครองของสหประชาชาติแต่อย่างใด

ในช่วงแรกๆ ฏอลิบานได้รับการยกย่องจากประธานาธิบดีร็อบบานีว่าเป็นกลุ่มที่พยายามนำเอาหลักการอิสลามมาใช้ เขาถึงกับเชิญชวนกลุ่มฏอลิบานให้เข้ามาแก้ไขวิกฤตการณ์ของอัฟกานิสถาน

แต่ตัวเขาเองก็เริ่มสงสัยว่าน่าจะมีประเทศอื่นเข้ามาช่วยเหลือฏอลิบาน

เช่นเดียวกับนายฮิกมัตยาร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคหิซบีอิสลามีที่มีความเห็นว่าขบวนการของนักเรียนศาสนาเหล่านี้มิได้เป็นขบวนการฏอลิบานที่แท้จริง

จากสงครามที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถานทุกครั้งเป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศภายนอกล้วนเข้ามามีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ทั้งสิ้น

พันธมิตรฝ่ายเหนือเองที่ได้รับการหนุนช่วยจากสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกให้เข้ายึดอำนาจจากฝ่ายฏอลิบานนั้น เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกเคยสนับสนุนให้เอาชนะโซเวียตมาแล้ว

สหรัฐอเมริกากับประเทศมุสลิมบางประเทศอีกเช่นกันที่ตัดช่องทางมิให้อิทธิพลของอิหร่านซึ่งเป็นประเทศที่สนับสนุนร็อบบานีและมีพื้นฐานทางภาษาเช่นเดียวกับประเทศมุสลิมแถบเอเชียกลางได้ขยายอิทธิพลสู่ประเทศมุสลิมเหล่านั้น

แต่เมื่อฏอลิบานไม่สามารถแยกตัวออกจากอุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Usama bin Ladin) ผู้ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบียรวมทั้งยังถูกกล่าวหาจากสหรัฐอเมริกาอีกว่าอยู่เบื้องหลังการถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และตึกเพนตากอนหรือตึกกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ด้วยความเป็นปรปักษ์ของสหรัฐที่มีต่อกองกำลังฏอลิบานจึงมีมากขึ้น

ทั้งๆ ที่ในอดีตสหรัฐอเมริกาเคยให้การสนับสนุนอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ในการทำสงครามกับโซเวียตในอัฟกานิสถานมาก่อน แต่ความเป็นปรปักษ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอุซามะฮ์ บิน ลาดิน เกิดขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกานำกองทัพของตนไปตั้งในซาอุดีอาระเบียบ้านเกิดของอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ก่อนจะเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1990

ทั้งๆ ที่อุซามะฮ์ บิน ลาดิน พยายามของร้องฝ่ายบริหารของซาอุดีอาระเบียมิให้อนุญาตให้กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งอยู่ในประเทศของเขาแต่คำขอร้องของเขาไม่ประสบผลสำเร็จ

นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐและประเทศของเขาเองอย่างชัดเจน เขาจึงถูกปลดจากการเป็นประชาชนของซาอุดีอาระเบียด้วย

 

หลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐภายใต้จอร์จ บุช ตัดสินใจส่งกองทัพสหรัฐเข้าถล่มอัฟกานิสถานเพื่อไล่ล่าอุซามะฮ์ บิน ลาดิน และมุลลอฮ์ มุฮัมมัด อุมัร และจัดตั้งรัฐบาลอัฟกานิสถานเพื่อเข้าต่อกรกับกองกำลังฏอลิบาน โดยอ้างถึงสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (War on Terror)

สงครามในอัฟกานิสถานทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตไปจำนวนมาก และการไล่ล่าอุซามะฮ์ บิน ลาดิน และมุลลอฮ์ มุฮัมมัด อุมัร ก็ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความไม่พอใจของโลกมุสลิมที่ติดตามเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยความหดหู่ และด้วยเสียงที่ไม่ดังพอจะหยุดยั้งการทำสงครามในอัฟกานิสถานของสหรัฐและพันธมิตร รวมทั้งสมาชิกของนาโต้ที่เข้าร่วมถล่มกองกำลังฏอลิบานพร้อมๆ ไปกับสหรัฐได้

เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีในเวลาต่อมาว่า สหรัฐได้ส่งกองทัพเข้าไปในอัฟกานิสถานเพื่อมิให้อัฟกานิสถานเป็นพื้นที่โจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐทั่วโลกและไล่ล่าอุซามะฮ์ บิน ลาดิน

แม้บิน ลาดิน จะจบชีวิตลงจากน้ำมือของสหรัฐไปแล้ว แต่ 20 ปีของการเข้าไปจัดตั้งรัฐบาลในอัฟกานิสถานเพื่อบดขยี้ฝ่ายฏอลิบานไม่ประสบผลสำเร็จเพราะไม่อาจต้านทานการต่อสู้ของฝ่ายฏอลิบานที่มีความสามารถในการทำสงครามจรยุทธ์ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเวลานี้กองกำลังฏอลิบานได้เข้าครองอัฟกานิสถานส่วนใหญ่เอาไว้ ในขณะที่สหรัฐและพันธมิตรต้องถอนทหารออกมาจากอัฟกานิสถาน

ถึงที่สุดทหารสหรัฐก็จำใจต้องออกมาจากอัฟกานิสถาน คำถามคือเมื่อไหร่สงครามจะจบลงจริงๆ

 

จากรายงานของเจ้าหน้าที่กลาโหมของสหรัฐที่กล่าวถึงรายละเอียดทางทหารของสหรัฐว่าจนถึงเวลานี้ สหรัฐยังคงมีอำนาจสั่งการให้มีการถล่มฏอลิบานด้วยเครื่องบินที่มีฐานอยู่ที่อัฟกานิสถาน

สำหรับชาวอัฟกัน คำตอบอาจชัดเจน แต่สำหรับผู้ที่ยังเฝ้าติดตามสถานการณ์ทั่วไปดูเหมือนยังมีความอึมครึมอยู่ และคาดการณ์ว่าคงอีกไม่นานสถานการณ์จะแลเห็นได้ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนในทางการรบแล้วฏอลิบานจะเหนือกว่าฝ่ายรัฐบาล

การพูดคุยสันติภาพ แม้จะยังดำเนินต่อไป แต่ทางตันยังมีให้เห็นอยู่ หลายคนกลัวว่าเมื่อกองกำลังต่างชาติออกจากอัฟกานิสถานแล้ว อัฟกานิสถานก็จะเข้าสู่สงครามกลางเมือง แม้ในบางครั้งพวกเขาดูจะอ่อนล้าลง

กระนั้นเครือข่ายของกองกำลังที่ต้องการจัดตั้งรัฐอิสลามก็แฝงตัวอยู่ทั่วไป

 

สําหรับสหรัฐและกองกำลังที่เข้าร่วมกับสหรัฐ การสิ้นสุดเกมการต่อสู้ยังมืดมน แม้ว่ากองกำลังที่เข้ามาอยู่ในอัฟกานิสถานถึง 20 ปีต้องออกจากประเทศนี้ไปพร้อมๆ กับสิ่งของและวัตถุที่นำมาใช้ในสงครามตลอด 20 ปีก็ตาม ทั้งนี้ ศูนย์การบัญชากลางของสหรัฐ นำโดยนายพล F.Mc Kenjie จะมีอำนาจจนถึงเดือนกันยายน เพื่อปกป้องกองกำลังอัฟกานิสถาน และต่อต้านกองกำลังฏอลิบาน

ถึงเวลานี้สหรัฐได้ออกจากฐานทัพอากาศบากรัม (Bagram Airfield) ไปแล้วหลังจาก 20 ปี ของการตั้งฐานทัพแห่งนี้ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการทำสงครามเพื่อขับไล่ฏอลิบานและไล่ล่ากลุ่มอัลกออิดะฮ์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีสหรัฐที่เรียกกันว่า 9/11 โดยฐานทัพอากาศของสหรัฐแห่งนี้ได้ส่งต่องานที่พวกเขาไม่อาจช่วยรัฐบาลอัฟกานิสถานได้อีกต่อไปแล้วให้กับฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลอัฟกานิสถาน และกองกำลังฝ่ายกลาโหมทั้งหมดที่กำลังอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ Mc Kenzie จะยังคงมีหน้าที่ดูแลทหารอีก 300 คนเพื่อช่วยภารกิจนี้ไปจนถึงเดือนกันยายน

นอกจากนี้ ทหารสหรัฐยังจะต้องช่วยชาวอัฟกันที่ขอวีซ่าพิเศษเพื่ออกจากอัฟกานิสถาน เนื่องจากหวาดหวั่นการตอบโต้ของกองกำลังฏอลิบาน

เนื่องจากผู้ที่ต้องการอพยพเหล่านี้คือผู้ที่อยู่เคียงข้างสหรัฐและรัฐบาลอัฟกานิสถานมาโดยตลอด

 

ภารกิจที่เหลืออยู่

ในทางเทคนิคกองกำลังของสหรัฐไม่ได้เขามาทำการรบภาคพื้นดินในอัฟกานิสถานมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว

แต่การตอบโต้ของกองทัพสหรัฐด้วยการโจมตีฝ่ายฏอลิบานก็ไม่ได้ยุติลง

รวมทั้งการใช้เครื่องบินเพื่อโจมตีฝ่ายฏอลิบานจากฐานการรบของรัฐบาลอัฟกานิสถาน

อย่างไรก็ตาม เครื่องบินโจมตีเหล่านั้น เวลานี้ได้ยุติการโจมตีลงแล้ว

ส่วนในอัฟกานิสถานต่อแต่นี้ไป กองทัพสหรัฐจะไม่มีอยู่อีกต่อไปเพื่อจะฝึกหรือแนะนำกองกำลังอัฟกัน

ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐมีกองกำลังส่วนใหญ่อยู่เพียง 650 นายที่บริเวณสถานทูต

ซึ่งกองกำลังเหล่านี้จะทำหน้าที่ปกป้องนักการทูตอเมริกันและช่วยรักษาความมั่นคงให้กับสนามบินนานาชาติที่กรุงคาบูล