ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความในประเทศ
I’m back อ.ห.ต. (เครือข่ายไล่ประยุทธ์)
การกลับสู่ถนนการเมืองอีกครั้งของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นความเคลื่อนไหวน่าจับตา
รอบนี้มีบทบาทต่างจากการเคลื่อนไหวเมื่อครั้งอดีต
เพราะไม่ได้กลับมาเคลื่อนไหวในนามแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่นายณัฐวุฒิเป็นเลขาธิการ
แต่เป็นการออกมาประกาศลั่นกลองรบขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเป็นทางการ
ในนามเครือข่ายร่วมเคลื่อนไหวและคนทำงานที่พร้อมผนึกกำลัง
โดยมีแรงผลักดันจากความล้มเหลวและความผิดพลาดในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้อง
โดยเฉพาะความล้มเหลวในการบริหารจัดการปัญหาแพร่ระบาดของโควิด-19
ที่สะท้อนภาพความจริงอันน่าสลดหดหู่จากยอดผู้ป่วยติดเชื้อพุ่งสูงแตะ 20,000 หมื่นรายต่อวัน กับผู้เสียชีวิตล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
ถึงแม้บทบาทการเคลื่อนไหวจะไม่ถือเป็นแกนนำหลัก
แต่ความเป็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เคยมีบทบาทเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในฐานะแกนนำ นปช.เมื่ออดีต จึงเป็นแรงดึงดูดกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างสำคัญ
ที่ผ่านมาถึงแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมร่วมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ต่อต้านและขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพ
ถึงอุดมการณ์จุดยืนจะไม่แตกต่าง แต่วิธีการไม่ค่อยผสมกลมกลืนกันเท่าใดนัก นั่นเพราะด้วยบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน ยุคสมัยที่แตกต่างกัน
ตรงนี้เอง “ณัฐวุฒิ” อาจมีบทบาทเป็นตัวเชื่อมประสาน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่หวนกลับมาสู่การเคลื่อนไหว ‘มวลชน’ ครั้งนี้ทำให้หลายคนคิดไปถึงคำพูด ‘I’m back’ ของภาพยนตร์ดัง ‘คนเหล็ก’ ขึ้นมาครามครัน ซึ่งนายณัฐวุฒิกล่าวถึงการตัดสินใจออกมาร่วมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ว่า
“กว่า 15 ปีของความขัดแย้ง พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจและโอกาสมากที่สุดในการแก้ปัญหาเพราะเป็นหัวหน้า คสช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จ 5 ปี และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ภูมิคุ้มกันเกินร้อยเปอร์เซ็นต์อีก 2 ปีครึ่ง แต่สุดท้ายยังล้มเหลวทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ความกลวง ความลวง กะล่อน หยาบคาย ไร้วุฒิภาวะ ไม่เคยยอมรับความผิดพลาด และโยนทุกอย่างลงบ่าประชาชน เห็นได้จากภาพคนตายเกลื่อนถนน กิจการพังพินาศ สูญสิ้นความเชื่อมั่น
หากไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างจะยิ่งเลวร้าย คนไทยจะสิ้นหวัง
จึงขอประกาศขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
พร้อมติดแฮชแท็ก #ไล่ประยุทธ์
การประกาศขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์อย่างจริงจังของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
นำมาสู่การจัดตั้ง “เครือข่ายไล่ประยุทธ์” โดยใช้ชื่อย่อ “อ.ห.ต.”
นายณัฐวุฒิเผยถึงที่มาที่ไปและความหมายของ “อ.ห.ต.” ว่า การออกมาครั้งนี้ไม่ได้มาในนามของแกนนำกลุ่ม นปช. แต่ออกมาเคลื่อนไหวในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ออกมาเคลื่อนไหวในฐานะคนเสื้อแดง
เมื่อออกมายืนสู้จึงขอส่งเสียงไปยังพี่น้องและเพื่อนมิตรร่วมอุดมการณ์ที่เคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาในอดีตว่าถึงเวลาที่ต้องออกมาสู้ด้วยกันแล้ว การเคลื่อนไหวรอบล่าสุดนี้ออกมาในฐานะคนทำงาน
โดยขอตั้งเครือข่ายที่ไม่ต้องมีชื่อซับซ้อนคือ “เครือข่ายไล่ประยุทธ์” ชื่อย่อว่า “อ.ห.ต.”
หลายคนอาจสงสัยในคำย่อของชื่อเครือข่าย จึงอยากอธิบายความหมายว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองไม่มีหลักเกณฑ์อะไรอยู่แล้ว บ้านเมืองวันนี้ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจอยากจะคิดอยากจะทำอะไรตามอำเภอใจ
เมื่อบ้านเมืองไม่มีหลักเกณฑ์อะไร ทำให้ชื่อย่อของเครือไล่ประยุทธ์ที่ใช้คำว่า “อ.ห.ต.” จึงไม่จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์อะไรเช่นกัน
พร้อมยืนยันเครือข่าย “อ.ห.ต.” ไม่มีคำแปลอื่น
ส่วนแนวทางการเคลื่อนไหวของเครือข่ายภายใต้สโลแกน “ให้มันจบที่รุ่นมัน” นั้น ไม่มีเจตนาพาดพิงสโลแกนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเคารพการต่อสู้ของคนหนุ่ม-สาวอย่างเคียงข้างและเข้าใจ
แต่คำว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” ของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเดียวกับผมนั้น อาจไม่เท่ากันในเรื่องช่วงเวลาและอายุ ดังนั้น คนรุ่นเดียวกับผมจึงขอให้คำว่า “ให้มันจบที่รุ่นมัน” แทน
คำว่ามันในที่นี่คือ อำนาจเผด็จการทั้งหลาย จึงขอให้มันจบที่รุ่นนี้ อย่ามีรุ่นต่อไป
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า อยากให้คนรุ่นมันเจ็บและจำ ในอำนาจนอกระบบที่ทำให้บ้านเมืองพังเสียหาย ขอถามไปยังผู้มีอำนาจและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ยังจะอุ้ม พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปอีกหรือ ทั้งที่ประชาชนล้มตายทุกวันทุกคืน
หากวันหนึ่งประชาชนไม่ยอมรับในอำนาจนี้ขึ้นมา
คุ้มหรือที่จะอุ้ม พล.อ.ประยุทธ์
ก้าวแรกใหม่ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นอกเหนือจากการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายอำนาจอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อโซเชียลอย่างเฟซบุ๊ก
ที่เป็นรูปธรรมคือการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติทัวร์ คาร์ม็อบ วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา กับนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักออกแบบกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ความโดดเด่นและสีสันของคาร์ม็อบที่เคยจัดมาแล้ว 2 ครั้ง ถือว่าไม่ธรรมดา
ยิ่งเมื่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศเข้าร่วมกับอีก 30 กลุ่มใน 40 จังหวัดทั่วประเทศ จึงทำให้คาร์ม็อบครั้งที่ 3 มีความคึกคักและทรงพลังยิ่งขึ้น
นายณัฐวุฒิปัดฝุ่นเสื้อแดง “ไพร่” มาเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมกับ “ชูสามนิ้ว” ประกาศแนวทางจุดยืนทางการเมืองว่า คาร์ม็อบ 1 สิงหาคม คือพลังบริสุทธิ์มหาศาลที่ข้ามพ้นข้อจำกัดโรคระบาด
เพื่อแสดงฉันทามติขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
ภาพที่เกิดขึ้นย้ำว่านี่คือสถานการณ์ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าไม่มีโควิดคนจะล้นถนน ทั้งหมดเป็นวาระของประชาชนที่ผู้มีอำนาจต้องตระหนัก
พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งต่อ นอกจากแก้ปัญหาเดิมไม่ได้ ยังทำให้ปัญหาใหม่ลงลึกและขยายตัวมากขึ้น รวมถึงการใช้กำลังกับผู้ชุมนุมบางส่วน ทั้งยิงจากจุดสูงข่ม ยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง
เป็นการเพิ่มเงื่อนไขให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด
เรื่องแบบนี้ยอมรับไม่ได้และควรประณาม โดยเฉพาะผู้มีอำนาจในรัฐบาล ซึ่งสั่งให้ทำได้และจะสั่งให้หยุดก็ได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าใจดีว่าทุกคนเจ็บปวด หลายคนเจ็บแค้น แต่ยังยืนยันว่าแนวทางสันติวิธีเท่านั้นที่ชอบธรรมและประชาชนจะชนะได้
จากนี้เตรียมกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหว
นัดหมายแสดงพลังครั้งใหญ่ของเครือข่ายไล่ประยุทธ์ต่อไป (อ่าน เจาะใจ ‘ณัฐวุฒิ-ลูกนัท’ ‘เสื้อแดง-อดีตนกหวีด’ ผู้ร่วม ‘คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์’ หน้า 79)
สําหรับแนวทางและการวางเป้าหมายหากขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งสำเร็จ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุถึงโรดแม็ปการขับเคลื่อนทางการเมืองและเป้าหมาย 3 ข้ออันเร่งด่วนควรดำเนินการ
รวมถึงเสนอขั้นตอนเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
นายณัฐวุฒิโพสต์เฟซบุ๊กระบุ ไล่ประยุทธ์อย่างไร? ประยุทธ์ไปแล้วไงต่อ? ข้อเรียกร้องของผมคือ ประยุทธ์ลาออกทันที จากนั้นให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีว่าที่นายกรัฐมนตรีที่มีอยู่
ถ้าไม่ได้นายกรัฐมนตรีด้วยวิธีแรก ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคสอง ส.ว.ต้องร่วมโหวตเพื่อเปิดทางให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก
ขีดเส้นใต้ไว้ว่า “นายกฯ คนนอกของผมคือ นอกบัญชีว่าที่นายกฯ แต่ต้องเป็น ส.ส.ในสภาเท่านั้น”
ทั้ง 2 แบบ ส.ว.ต้องงดออกเสียงในขั้นตอนเลือกนายกรัฐมนตรี
เมื่อได้รัฐบาลแล้วทำเรื่องเร่งด่วน 3 เรื่องคือ
1. รื้อกลไกแก้ปัญหาโควิดที่ล้มเหลว เร่งหาวัคซีนทั้งซื้อ ยืมและขอ นายกรัฐมนตรีต้องทำเองและตัดขั้นตอนไม่จำเป็น บูรณาการแก้ไขข้อบกพร่องทั้งเรื่องการตรวจ รักษาและเยียวยาให้เป็นรูปธรรม
2. สภา แก้รัฐธรรมนูญให้มี ส.ส.ร.จากประชาชนยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เสร็จแล้วลงประชามติก่อนบังคับใช้
3. สภา แก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว.ไม่ให้โหวตเลือกนายกฯ จากนั้นยุบสภา
ส่วนรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอยู่จนรัฐธรรมนูญผ่านประชามติบังคับใช้ ก่อนยุบสภา เพื่อเปิดทางให้เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญของประชาชนและเดินหน้าประเทศต่อไป
ข้อเสนอนี้ยืนยันตามหลักการประชาธิปไตย เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ ปฏิเสธอำนาจนอกระบบหรือวิธีพิเศษไม่ให้เข้าแทรกแซง
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ถูกไล่ ส.ว.ต้องไม่ฝืนความต้องการประชาชน สภาต้องทำหน้าที่ให้บ้านเมืองไปต่อได้
หากประยุทธ์อยู่ต่อ เหลือเวลาอีกปีครึ่ง โควิดแก้ไม่ได้ ให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจยิ่งสิ้นหวัง
ลาออกวันนี้แล้วเดินตามข้อเสนอจนได้รัฐธรรมนูญใหม่ เวลาจะพอกัน
ก่อนเลือกนายกฯ คนใหม่ เพื่อทำ 3 เรื่องเร่งด่วนให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่พร้อมประชามติให้จบในเวลาปีเศษที่เหลือ
การกลับมาของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในนาม “เครือข่ายไล่ประยุทธ์” หรือ “อ.ห.ต.”
ยังสวมใส่เสื้อแดงตีตรา “ไพร่” เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการ “ชู 3 นิ้ว”
I’m back ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เจ้าของฉายา “สุภาพบุรุษไพร่”
จึงเป็นสัญญาณส่งตรงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อจากนี้จะต้องเจอกับอะไร
หากไม่ใช่คลื่นมวลชนขับไล่ที่เข้มแข็งจริงจังและขยายวงกว้างขวางกว่าเดิม