ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“เมื่อประชาชนหย่อนบัตรลงในหีบเลือกตั้ง ก็เปรียบเสมือนกับการฉีดวัคซีนป้องกันความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นของพวกเขา”
John Kenneth Galbraith
The Age of Uncertainty (1977)
ความน่าสนใจประการหนึ่งของการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาก็คือ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทหารฝ่ายขวาหรือนักปฏิวัติฝ่ายซ้ายล้วนมีชุดความคิดทางการเมืองเดียวกันก็คือ พวกเขาเชื่อในพลังอำนาจของ “ปืน”
ดังได้กล่าวแล้วว่าวาทะที่มีชื่อเสียงของประธานเหมาว่า “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” นั้น ใช้ได้ทั้งกับการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายซ้าย และเช่นเดียวกับรัฐประหารของฝ่ายขวาก็ไม่ได้แตกต่างกันในเชิงวาทกรรม
เป็นแต่เพียงรัฐประหารคือเครื่องมือของกลุ่มอนุรักษนิยมในการปกป้องผลประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขา แต่การปฏิวัติเป็นการลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังอาวุธของประชาชน
ดังนั้น ในยุคสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นถึงการกำเนิดและการดำรงอยู่ของรัฐบาลทหารในประเทศโลกที่สามทั้งในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา
จนอาจกล่าวได้ว่าในช่วงทศวรรษ 1950 ต่อเนื่องเข้าทศวรรษ 1960 การเมืองโลกได้เห็นถึงการกำเนิดและการสร้างความเข้มแข็งของรัฐบาลทหารในหลายประเทศ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำรงอยู่ของรัฐบาลเช่นนี้ยังรองรับต่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่สำคัญในการต่อต้านการขยายตัวของสงครามปฏิวัติ
ฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนว่าการเลือกตั้งในสถานการณ์เช่นนี้ถูกสร้างภาพลักษณ์ให้กลายเป็นระบบการเมืองที่เต็มไปด้วยปัญหาและข้อโต้แย้ง…
เป็นระบบการเมืองที่ไม่รับใช้วัตถุประสงค์ในการป้องกันประเทศ…
เป็นระบบการเมืองที่ไม่ตอบสนองต่อการสร้างชาติ เพราะระบบการเมืองเช่นนี้ถูกควบคุมโดยนักการเมืองที่ไม่รักชาติ
วาทกรรมต่อต้านการเลือกตั้งเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกรัฐบาลทหาร
และสำหรับในภูมิภาคละตินอเมริกาแล้ว ชุดความคิดทางการเมืองเช่นนี้ถูกเรียกว่า “อุดมการณ์ต่อต้านการเมือง” (Anti-politics Ideology)
และว่าที่จริงแล้ว อุดมการณ์ชุดนี้เห็นได้ในทุกรัฐบาลทหาร
เพราะหากรัฐบาลทหารจะดำรงอยู่ให้ได้อย่างชอบธรรมโดยปราศจากรากฐานของ “อำนาจทางศีลธรรม” แล้ว การสร้างชุดความคิดทางการเมืองรองรับต่อสถานะของรัฐบาลนี้จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เช่นนั้น ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำลายอำนาจของกองทัพในการเมือง
เพราะการกำเนิดของรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีความชอบธรรมในตัวเองตั้งแต่ต้น
ในสภาวะเช่นนี้ ชนชั้นนำและบรรดาผู้นำอนุรักษนิยมที่สนับสนุนการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำทหารจึงต้องหาทางทำลายความชอบธรรมของการเลือกตั้งให้ได้
และการทำลายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะนักการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาเองก็มีปัญหาในตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่โปร่งใส การคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจแบบฉ้อฉล เป็นต้น
อุดมคติของการเลือกตั้งจึงถูกป้ายสีได้โดยใช้พฤติกรรมด้านลบของนักการเมืองเป็นเครื่องมือ
อีกทั้งชนชั้นนำยังมองด้วยความหวาดกลัวว่า การเลือกตั้งคือการเปิดโอกาสให้ชนชั้นล่างเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
การเมืองในระบบนี้จึงเป็นทั้งปัญหาและภัยคุกคามควบคู่กันไป จนไม่อาจจะยอมรับให้ระบบเช่นนี้ได้ทำหน้าที่ในทางการเมือง
นอกจากนี้ อาจจะต้องยอมรับความจริงของการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาว่า อำนาจรัฐยังกระจุกตัวอยู่กับสถาบันการเมืองที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนของการพัฒนาและปรับตัวรองรับกับการกำเนิดของรัฐประชาธิปไตยและระบบรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่รัฐในโลกตะวันตกหรือในประเทศพัฒนาแล้ว กลับผ่านขั้นตอนของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ จนระบบการเมืองเกิดความชัดเจนถึงกระบวนการของการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ การจัดสรรอำนาจเกิดขึ้นในระดับสถาบันทางการเมืองและตัวแสดงทางการเมืองเพื่อเป็น “กติกาหลัก” อันจะเป็นหลักประกันว่าการได้มาซึ่งอำนาจจะไม่ทำให้ผู้นำกลายเป็น “เผด็จการ”
และขณะเดียวกันก็ประกันว่าจะไม่มีการต่อสู้ในการแข่งขันทางการเมืองจนนำไปสู่ความขัดแย้งและขยายไปสู่ความรุนแรงจนอยู่ในระดับที่ไม่อาจควบคุมได้
กล่าวคือ อย่างน้อยกติกาของการได้มาซึ่งอำนาจรัฐด้วยกระบวนการทางรัฐสภาจะเป็นหนทางแก้ปัญหาการปฏิวัติ และการล้มล้างระบบการเมือง
ดังเช่นตัวแบบของฝรั่งเศสในปี 1789 หรือรัสเซียในปี 1917 หรือจีนในปี 1949
อีกทั้งในยุคสงครามเย็นก็ได้เห็นถึงการพังทลายของระบบการเมืองเก่าที่ถูกล้มล้างจากสงครามปฏิวัติ
ไม่ว่าจะเป็นในคิวบาในปี 1959 หรือเวียดนามในปี 1975
ปรากฏการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของชนชั้นนำที่ปิดกั้นบทบาทในการมีส่วนร่วมของประชาชน
การปิดประตูระบอบรัฐสภาจึงกลายเป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองหันไปสู่ทิศทางของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ซึ่งอาจเป็นเพราะชนชั้นนำและกลุ่มผู้นำอนุรักษนิยมมองการเลือกตั้งด้วยทัศนะของอุดมการณ์ต่อต้านการเมืองแบบสุดโต่ง
สภาวะเช่นนี้ทำให้โอกาสที่ใช้การเลือกตั้งเป็นการ “เปิดวาล์ว” ระบายแรงกดดันในสังคม กลับเห็นถึงความพยายาม “ปิดวาล์ว” และไม่มีช่องทางของการระบายทางการเมือง
อันทำให้ช่องทางของการต่อสู้ทางการเมืองเหลืออยู่เพียงเงื่อนไขเดียวคือการต่อสู้ด้วยกองกำลังอาวุธ
ตัวแบบของ “สงครามภายใน” ที่เกิดขึ้นในประเทศโลกที่สามในยุคสงครามเย็นเป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ และแม้ฝ่ายตรงข้ามรัฐอาจจะไม่ชนะ แต่ก็กลายเป็น “สงครามยืดเยื้อ” ที่บั่นทอนสถานะของรัฐลงอย่างมาก
บางความยืดเยื้อที่เกิดขึ้นมายาวนาน ดังเช่น กรณีของสงครามกลางเมืองในโคลอมเบียที่เริ่มในปี 1964 เพิ่งจะมีการยุติศึกในช่วงกลางปี 2016 และการบั่นทอนรัฐภายใต้เงื่อนไข “ความขัดแย้งยืดเยื้อ” ไม่อาจเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพของรัฐทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมได้เลย
รัฐที่ติดกับดักอยู่กับปัญหาความขัดแย้งอย่างยืดเยื้อจึงมีอาการไม่ต่างกับการเป็น “คนป่วย” ในประชาคมโลก แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ก็อาจกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” ได้ไม่ยาก เช่น กรณีของรัฐในแอฟริกา เป็นต้น
นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐทหารด้วยการยึดอำนาจจากระบบการเลือกตั้งก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้จริง
การพังทลายของ “ระบบทหาร” ในละตินอเมริกาเป็นบทเรียนที่น่าสนใจเสมอ
เพราะกองทัพในภูมิภาคดังกล่าวไม่เพียงแต่จะมีประวัติศาสตร์ในการต่อสู้กับการเมืองแบบพลเรือนมายาวนานในการเมืองของแต่ละประเทศ และนายทหารหลายๆ คนในกองทัพยังมีสภาพเป็น “นักคิด” ที่จะประกอบสร้างชุดความคิดเพื่อรองรับต่อการมีบทบาททางการเมืองของทหารในแบบของ “การสร้างสถาบัน” (institutionalization)
กล่าวคือ การดำรงอยู่ของกองทัพในเวทีการเมืองถูกออกแบบในเชิงสถาบัน และทั้งยังจัดทำระบบกฎหมายรองรับ เพื่อให้อำนาจเช่นนี้ดำรงอยู่ได้อย่างชอบธรรม
ดังนั้น นับจากการรัฐประหารครั้งสำคัญของภูมิภาคที่เริ่มต้นด้วยการยึดอำนาจในบราซิลในปี 1964
และตามมาด้วยการรัฐประหารในเปรูในปี 1968
นับจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นต้นมา การเมืองในภูมิภาคทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้ระบบการปกครองของทหาร
พวกเขาอยู่ในอำนาจอย่างเข้มแข็ง ดังจะพบว่าในปี 1979 นั้น 2 ใน 3 ของประชาชนในละตินอเมริกาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบบการปกครองของทหาร และระบบนี้ดำรงอยู่ได้ด้วยการจับกุม การทรมาน การลักพาตัว และการสังหาร
แม้มาตรการทางทหารจะช่วยลดภัยคุกคามของ “ฝ่ายซ้าย” เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศเดินไปสู่ตัวแบบของการปฏิวัติคิวบา
แต่ราคาที่สังคมต้องจ่ายเพื่อใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับลัทธิสังคมนิยมก็สูงอย่างมาก
ในสภาวะเช่นนี้ การเลือกตั้งกลายเป็นสิ่งที่ถูก “ทอดทิ้ง” ในทางการเมือง
แต่ในที่สุดเมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐอเมริกา การลดระดับของภัยคุกคามของลัทธิสังคมนิยม ประกอบกับการเติบใหญ่ของภาคพลเรือนและประชาสังคม
และที่สำคัญก็คือความล้มเหลวของรัฐบาลทหารทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่สุดแล้ว รัฐบาลทหารก็คอร์รัปชั่นไม่ต่างจากรัฐบาลพลเรือนที่ถูกกองทัพยึดอำนาจ
นายทหารระดับสูงใช้ชีวิตด้วยความหรูหราและมั่งคั่ง ในขณะที่นายทหารส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้ร่วมชะตากรรมกับประชาชนที่ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ดังนั้น ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ความชอบธรรมของกองทัพที่จะอยู่ในการเมืองก็ค่อยๆ ถึงจุดจบ
วาทกรรมเรื่อง “ภารกิจทางประวัติศาสตร์” ของกองทัพกลายเป็น “คำโฆษณา” ที่ไม่มีเสียงตอบรับ และทั้ง “อำนาจทางศีลธรรม” ที่กองทัพพยายามใช้ภารกิจของการต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นปัจจัยทดแทนก็กลายเป็นเพียง “สินค้าล้าสมัย” ที่ขายไม่ออกในทางการเมือง
และในที่สุด ระบบการปกครองของทหารในละตินอเมริกาก็ถึงจุดจบ
ดังจะเห็นว่าในปี 1994 ภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นอเมริกากลางและอเมริกาใต้ไม่มีรัฐบาลทหารหลงเหลืออยู่อีกเลย
การปิดฉากของทหารกับการเมืองในละตินอเมริกา และตามมาด้วยการกลับคืนมาของพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง การละเมิดสิทธิมนุษยชนถูกตรวจสอบและลงโทษ
การเซ็นเซอร์สื่อก็ค่อยๆ หมดไป
หรือหากกล่าวในภาพรวมก็คือ กระบวนการสร้างประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือหลักได้เข้ามาทำหน้าที่ในการจัดสรรอำนาจทางการเมืองแทนการควบคุมของรัฐบาลทหาร
พร้อมกันนี้กองทัพก็ถูกสร้างให้มีความเป็น “ทหารอาชีพ” มากกว่าจะเป็น “ทหารการเมือง” และบทบาทของ “นักการเมืองในเครื่องแบบ” ก็กลายเป็นบรรทัดฐานเก่าที่ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป กระบวนการสร้างทหารอาชีพจึงเกิดคู่ขนานกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตย
แน่นอนว่ากระบวนการสร้างประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในประเทศโลกที่สาม มิได้หมายความว่า ชนชั้นนำและผู้นำกลุ่มอนุรักษนิยมจะสิ้นสภาพไป
หากแต่พวกเขาถูกบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ที่ถือเอา “ประชาธิปไตยเป็นเกมการต่อสู้เดียวในเมือง” (Democracy is the only game in town) บีบให้ยอมรับว่ากระบวนการการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาเป็นหนทางของการได้อำนาจทางการเมือง
หรือกล่าวเปรียบเทียบได้ว่า อำนาจรัฐได้มาด้วย “รถหาเสียง” มิใช่ด้วย “รถถัง” อีกต่อไป
ภายใต้กระบวนการสร้างประชาธิปไตยในโลกที่สาม จากทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยมลงสนามแข่งขันทางการเมืองในการเลือกตั้ง ไม่แตกต่างจากการเมืองในประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีกติกาที่ชัดเจนว่าการเลือกตั้งคือกลไกหลักของการได้อำนาจรัฐ อำนาจไม่ได้มาจากการรัฐประหารอีกต่อไป
พร้อมกันนี้ก็เกิดปรากฏการณ์ของการ “ถอนตัวของกองทัพออกจากการเมือง” ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มสำคัญในการเมืองโลก… ผู้นำทหารพากองทัพกลับเข้าสู่กรมกอง
การก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ประเทศโลกที่สามมีส่วนโดยตรงในการขับเคลื่อนให้การเลือกตั้งเป็นกลไกหลักของการตัดสินการแข่งขันทางการเมือง
กระบวนการเช่นนี้เกิดในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะทางชนชั้นหรือมีอุดมการณ์อย่างไร พวกเขาจะต้องต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง
ชัยชนะจึงไม่ใช่การ “เกาะรถถัง” เข้าสภาอีกต่อไป
แม้ในอดีตการเลือกตั้งในประเทศเหล่านี้จะมีปัญหา แต่คงต้องยอมรับว่าพัฒนาการทางการเมืองที่ผ่านมาทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกมีส่วนอย่างมากต่อการทำให้การเลือกตั้งมีลักษณะ “เสรีและเป็นธรรม” (free and fair election)
และเห็นได้ชัดว่าการเลือกตั้งไม่ได้ถูกออกแบบให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตัวแทนของพวกเขาเข้าสู่สภา
และการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นจากเสียงของประชาชน
ดังนั้น ถ้าฝ่ายขวาจะได้อำนาจ ก็ต้องกระทำผ่านกระบวนการการเลือกตั้ง ด้วยการนำเสนอนโยบายใหม่ให้ประชาชนตัดสินใจเลือก
ดังเช่น การกำเนิดของ “ประชานิยมปีกขวา” (Rightwing Populism) ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะของกลุ่ม “เบร็กซิท” (BREXIT) ในอังกฤษ ชัยชนะในการเลือกตั้งอเมริกันของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2016 หรือการขับเคลื่อนของปีกขวาในยุโรปปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคแนวร่วมแห่งชาติในฝรั่งเศส พรรคทางเลือกในเยอรมนี พรรคเสรีภาพในเนเธอร์แลนด์ พรรคเสรีภาพในออสเตรีย เป็นต้น
กลุ่มขวาเหล่านี้ไม่ได้มายึดอำนาจ แต่มาขายนโยบายให้แก่ประชาชน
น่าสนใจว่ากลุ่มขวาในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่กลัวและไม่รังเกียจการเลือกตั้ง แม้พวกเขาจะมีข้อวิจารณ์อย่างไร แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่าอำนาจรัฐได้มาด้วยการเลือกตั้ง…
ชัยชนะของฝ่ายขวาเกิดในสนามเลือกตั้ง การเมืองในยุคเก่าที่ “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” ผ่านเลยไปแล้ว
รัฐประหารจึงเป็น “สินค้าตกยุค” ที่ขายไม่ได้ในเวทีโลก
หากแต่การเมืองในปัจจุบันเป็นดังคำของลินคอล์นที่ว่า “บัตรเลือกตั้งแข็งแรงกว่ากระสุนปืน”!