ภาพยนตร์/KIDNAP “ลักพา”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

KIDNAP “ลักพา”

กำกับการแสดง Luis Prieto

นำแสดง Halle Berry, Sage Correa, Lew Temple, Chris McGinn

นี่เป็นหนังของ ฮัลลี เบอร์รี่ แบบ “ข้ามาคนเดียว” ล้วนๆ โดยชูดารานำแสดงหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดัง แต่ตอนนี้เริ่มซาลงไปแล้ว และผู้สร้างยังมั่นใจว่าเธอจะ “เอาอยู่” ทั้งเรื่อง

ฮัลลี เบอร์รี่ ทิ้งคราบสาวสวยเฉิดฉาย ทรวดทรงองค์เอวอรชรสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ มาเล่นบทแอ๊กชั่นลุยเดี่ยวแบบไม่ต้องให้ใครมาช่วยกอบกู้สถานการณ์คับขันเฉพาะหน้า และทำสำเร็จลุล่วงได้คนเดียวจนตลอดรอดฝั่ง

นั่นน่าจะเป็นไอเดียแรกเริ่มสำหรับหนังที่มีพล็อตเจือจางเรื่องนี้ นั่นคือ แม่ที่รักลูกเหลือเกินจนไม่ยอมหยุดให้แก่ใครหน้าไหนหรือภยันตรายใดเพื่อจะติดตามเอาลูกน้อยที่หายตัวไปต่อหน้าต่อตาให้กลับคืนมา

แม้จะเป็นหนังที่สั้นมากด้วยความยาวเพียงเก้าสิบนาทีเศษๆ แต่หนังก็ยังใช้เวลาพอดูในการปูพื้นด้วยเรื่องราวความรักความผูกพันของแม่ลูกคู่นี้ นับแต่อยู่ในท้องและลืมตาดูโลก เติบโตขึ้นทีละน้อย

จนถึงวัยหกขวบอันแสนน่าเอ็นดูเมื่อเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้น

คาร์ลา ไทสัน (ฮัลลี เบอร์รี่) เป็นสิ่งที่สมัยปัจจุบันนิยมเรียกว่า “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว”

…ได้ยินวลีนี้ทีไร ผู้เขียนอดนึกถึงสมัยเรียนวิชาชีววิทยาว่าด้วยลักษณะของพืชแบบต่างๆ ที่แยกได้เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่ไม่ได้ทุกที และถ้าไม่ได้นึกถึงเรื่องพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ก็จะอ่านแยกคำผิดเป็น แม่เลี้ยง-เดี่ยว จนทำให้นึกถึง “แม่เลี้ยง” มากกว่า “แม่ผู้ให้กำเนิด”

แหม…ภาษาไทยนี่สนุกจริงๆ ดิ้นไปทางโน้นก็ได้ ทางนี้ก็ได้

อันที่จริง คำนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า single mother หรือแม่ที่ไม่ได้แต่งงาน หรือแม่ที่อยู่ตัวคนเดียว

แต่เมื่อหนังเริ่มเรื่องได้ไม่เท่าไหร่ คาร์ลาก็ทำท่าจะไม่ได้เป็น “แม่เลี้ยงเดี่ยว” ตลอดไปหลังจากแยกทางกับสามี เนื่องจากครอบครัวใหม่ของสามีมีฐานะการเงินดีมาก ขณะที่เธอเองต้องทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารข้างทาง สามีกำลังจะฟ้องเรียกร้องสิทธิเลี้ยงดูลูก ด้วยเหตุที่คาร์ลามีสถานะการเงินไม่มั่นคงพอจะให้การเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดแก่เด็ก

และนี่คือจุดที่คาร์ลาวุ่นวายใจจนทิ้งลูกไว้ลำพังในสวนสนุกเพียงชั่วครู่

ก่อนหน้านั้น เราก็เห็นคาร์ลาวุ่นวายเสิร์ฟอาหารอยู่คนเดียวในร้านที่ขาดแคลนพนักงาน ขณะที่ลูกชาย แฟรงกี้ (เซจ คอร์เรีย) นั่งรอให้แม่เลิกงานเพื่อออกไปเที่ยวสวนสนุกกัน

หนังใช้เวลาช่วงแรกนี้ปูพื้นให้กับแคแร็กเตอร์ของคาร์ลาเพียงอย่างเดียว สำหรับนักดูหนังลึกลับเขย่าขวัญแล้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นการเตรียมเรื่องที่จะตามต่อมา แต่ทว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะช่วงแรกอันยาวนานนี้ไม่ได้เป็นเงื่อนงำอะไรเลย นอกจากบอกว่าคาร์ลาถูกกดดันและเหน็ดเหนื่อยมากจากลูกค้าขี้บ่น เอาใจยากและไม่เคยพอใจกับอะไรสักอย่าง

อาทิ ลูกค้าชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งท่าทางฐานะดี และฝ่ายหญิงเอาแต่เรียกร้องบริการแบบห้องอาหารระดับหรูเลิศ ขณะที่ฝ่ายชายบอกว่านี่เป็นร้านอาหารข้างทางนะ

ส่วนอีกโต๊ะ ก็เป็นครอบครัวที่มีคนสามรุ่นนั่งอยู่ด้วยกัน ลูกชายเอาแต่ใจตัวเอง แม่ที่เข้มงวด พ่อที่คอยประนีประนอม และยายที่แก่จนเริ่มหลงแล้ว

ฉากนี้ไม่ได้ให้อะไรในแง่การวางพล็อตดำเนินเรื่องเลย นอกจากให้รสชาติและสีสันอันน่าเบื่อหน่ายของคนรอบตัวที่คาร์ลาต้องเผชิญและอดทนอดกลั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

มีมุขที่อดหัวเราะไม่ได้อยู่หน่อย ตอนที่คุณยายผู้ชราในโต๊ะทักคาร์ลาว่าเธอหน้าตาเหมือนลูกสาวฉันสมัยก่อนเลย และตัวลูกสาวหน้าหงิกบอกแม่ว่าหนูนั่งอยู่ตรงนี้นะแม่

(ผู้หญิงทั้งสองคนไม่ได้มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันเลย คนหนึ่งผิวขาว อีกคนผิวดำ นอกจากความอ่อนหวานนุ่มนวลที่ปฏิบัติต่อคนแก่อย่างที่คนแก่คนเฒ่าอยากเห็นในตัวลูกหลาน)

หลังจากคาร์ลาไม่ยอมรับงานควบอีกกะจากที่หัวหน้าเสนอให้ เธอก็ขับรถเอสยูวีสีแดงพาลูกชายไปเที่ยวสวนสนุกตามคำสัญญา โดยมีมุขอยู่ว่าเมื่อไรที่เธอร้องเรียกว่า “มาร์โค” ลูกชายจะต้องตอบว่า “โปโล”

ซึ่งกลายเป็นความสับสนอย่างหนึ่ง เมื่อตอนที่แฟรงกี้หายตัวไป และเธอเอาแต่ร้องเรียกว่า “มาร์โค” จนคนรอบข้างต้องถามว่าลูกชายเธอชื่ออะไรกันแน่ แฟรงกี้หรือมาร์โค

เมื่อเหลียวหาความช่วยเหลือไม่เจอ ตอนที่เห็นลูกชายถูกดึงตัวขึ้นรถฟอร์ดมัสแตงสีเขียวไปต่อหน้าต่อตา คาร์ลาตัดสินใจโดดเกาะรถไปด้วย จนล้มลุกคลุกคลาน และมือถือหล่นพังบนถนน

และแล้วเธอก็โดดขึ้นรถขับตามโดยไม่มีมือถือเพื่อโทร.ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ

จากนั้นการติดตามอย่างไม่ลดละของคาร์ลาก็กลายเป็นความเหลือเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ตามต่อกันมาเรื่อยๆ

ไม่ว่าคนร้ายจะแสดงอาการเงื้อมีดขู่ฆ่าเด็ก หรือเปิดประตูรถขู่จะผลักเด็กลง คาร์ลาก็เลิกติดตามเพียงชั่วครู่ และแล้วก็ยังขับรถไล่ตามต่อไปอย่างไม่กลัวเกรงอะไร

เธอพยายามกระทำผิดกฎจราจรหลายครั้งหลายหน เพื่อให้ตำรวจติดตามรถที่ขับ แต่ด้วยอุปกรณ์ทางอากาศเพื่อตรวจสภาพจราจรและติดตามคนร้าย ตำรวจก็ยังทำพลาดไปจับตัวคนผิด คาร์ลาผู้พยายามส่งสัญญาณแจ้งตำรวจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้

แถมเมื่อตำรวจทางหลวงขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตาม ก็ยังโดนรถคนร้ายเบียดขนาบไล่กันอยู่นาน ขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น และหยุดยั้งคนร้ายรายนี้ไว้

ยังมีเรื่องเหลือเชื่อที่ท้าทายความสมเหตุสมผล เกิดขึ้นอีกมากมายในระหว่างที่คาร์ลาติดตามคนร้ายผู้ลักพาตัวลูกชายของเธอไปอย่างไม่ลดละ

แต่ที่น่าโมโหที่สุดสำหรับผู้เขียน คือในการติดตามลูกชายครั้งนี้ คาร์ลาก่อให้เกิดความหายนะทั่วหน้าแก่ผู้คนโดยรอบ มีทั้งตำรวจที่โดนบดขยี้ และคนเดินถนนที่บังเอิญโดนชนบาดเจ็บสาหัส ฯลฯ

ใครจะฉิบหายวายป่วงอย่างไรไม่รู้ละ ขอให้ครอบครัวตัวเองอยู่ดีมีสุขและปลอดภัยไว้ก่อน…ความคิดที่เห็นแก่ตนเป็นใหญ่แบบนี้ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมของเรา

แถมที่สุดของที่สุด ในความบ้าบิ่นไร้สตินี้ คาร์ลายังได้รับคำสดุดีในฐานะวีรสตรีที่สมควรเป็นแบบอย่างอีก

ดูจบแล้ว รู้สึกวังเวงเศร้าใจมากกว่า…