“กสศ.”หนุนแนวทางกรมสุขภาพจิต เร่งขจัดปัญหาสภาวะเครียดและซึมเศร้าครู-นักเรียนจากภาวะโควิด  

ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 3 อย่างเป็นทางการแล้ว มีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,984ราย และมียอดผู้ติดเชื้อสะสมถึง 196,502ราย (ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2564) ผลักให้สังคมไทยกลับเข้าสู่มาตรการเฝ้าระวังเข้มข้นอีกครั้ง การกลับมาระบาดใหม่ครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รวมไปถึงนักเรียนนักศึกษาที่กำลังเข้าสู่ช่วงเปิดเทอม ที่ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความกังวลให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องในระบบการศึกษาทั้งสิ้น
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งมีบทบาทและภารกิจสำคัญในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา  เป็นหนึ่งในหลายๆหน่วยงานที่เฝ้ามองผลกระทบของการระบาด COVID-19 ที่อาจส่งผลระบบการศึกษาของไทย   โดยมองว่าการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก3นั้น    แม้มีความจำที่รัฐบาลจะต้องออกมางัดใช้มาตรการเฝ้าระวังเข้มข้นอีกครั้ง  แต่กสศ.ก็มองว่าการส่งนักเรียนกลับสู่การศึกษาก็จำเป็นพอๆ กับการรักษาระยะห่าง (Social Distancing) เพื่อรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพ การเรียนการสอน  รวมไปถึงการสอบในหลายสนามจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ พลิกแพลงกันไปตามแต่กระบวนท่าของผู้สอนและผู้เรียนกันอย่างสุดความสามารถ ซึ่งก็มักจะยิ่งทำให้เกิดการเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจแก่ผู้เรียนและผู้สอนกันอย่างถ้วนหน้า
ทั้งนี้ กสศ.ยังได้หยิบยกฐานข้อมูลการเก็บแบบสอบถามของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ช่วงวันที่ 1 เมษายน จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ขึ้นมาอ้างอิง    โดยพบว่ากลุ่มคนในช่วงอายุ 10-30 ปี มีผู้ที่มีสภาวะเครียดสูงอยู่ที่ร้อยละ 5.32 มีสภาวะเสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 6.53 มีสภาวะเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 3.43 และมีสภาวะหมดไฟ 11.12 จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 37,042 คน และหากมุ่งสนใจไปที่ข้อมูลการตอบแบบสอบถามของบุคลากรด้านการศึกษาโดยไม่จำกัดช่วงอายุ จำนวน 2,080 ราย จะพบคำตอบอันน่าตกใจว่า มีกลุ่มที่อยู่ในสภาวะเครียดสูงอยู่ถึงร้อยละ 10.43 มีสภาวะเสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 11.97 และมีสภาวะเสี่ยงในการฆ่าตัวตายร้อยละ 5.38
ข้อมูลสถานการณ์สุขภาพจิตของบุคลากรด้านการศึกษา ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 โดยกรมสุขภาพจิตตัวเลขอันน่าตกใจดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาคการศึกษาไทยนั้นมีปัญหามากมายสั่งสมอยู่ก่อนแล้ว ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสหรือช่องว่างระหว่างการพัฒนา เมื่อถูกผสมเข้ากับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกที่ 3 จึงยิ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเรียนการสอนทั่วประเทศให้ชะลอตัวลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสภาวะเสี่ยงซึมเศร้าและความเครียดสะสมจากการเรียนที่ต้องหยุดชะงักเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ในห้องเรียน การสอบประเมินผล แม้จะมีการจัดโปรแกรมเรียนออนไลน์ก็ตาม
นอกจากนี้กสศ.ยังได้หยิบยกข้อมูลจากเว็บไซต์ International Board of Credentialing and Continuing Education Standards (IBCCES) องค์กรส่งเสริมมาตรฐานสุขภาวะ การศึกษา และความร่วมมือในกลุ่มผู้มีความผิดปกติทางความคิดในระดับสากลอีกด้วย  โดย เว็บไซต์ดังกล่าวที่ได้ระบุว่า        สภาวะซึมเศร้าและสภาวะเครียดจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตรอบด้านของปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการนอน การกิน สุขภาพจิต สุขภาพกาย ความมั่นใจในตนเอง การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้าง และความสามารถในเชิงวิชาการ
การที่ผู้เรียนมีปัญหาด้านสุขภาพจิต จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ที่ถดถอย พอๆ กับอาการต่อต้านทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ตัวอย่างของอาการดังกล่าวมีตั้งแต่การขาดการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน มีความสัมพันธ์ที่เหินห่างกับผู้สอนหรือเพื่อนร่วมชั้น ไปจนถึงการไม่สนใจ ไม่ยินดียินร้าย และไม่มี passion ในการวางแผนอนาคตอีกด้วย
นอกจากอาการภายนอกที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้แล้ว อาการภายในเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เนื่องจากสมองส่วนความจำเพื่อใช้งาน (working memory) จะถูกสภาวะเครียดและสภาวะซึมเศร้าเล่นงานจนการจัดเก็บชุดข้อมูลใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องยาก และการเรียกชุดข้อมูลที่เรียนรู้ไปแล้วกลับมาในกระบวนการคิดวิเคราะห์ก็กลายเป็นเรื่องที่ลำบากเช่นกัน
การที่ผู้เรียนถูกสภาวะเครียดและซึมเศร้าเล่นงาน ยังอาจทำให้ความสม่ำเสมอในการวัดผลแตกต่างกัน เช่น วันหนึ่งนักเรียนอาจจะสามารถทำงานชิ้นที่ยากส่งได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่วันต่อมากลับไม่สามารถทำงานธรรมดาให้สำเร็จลุล่วงได้ ไปจนถึงการเริ่มหลีกเลี่ยงการเข้าเรียน ซึ่งจะพัฒนาเป็นปัญหาในลำดับต่อไป
สภาวะดังกล่าวไม่ได้เล่นงานเพียงแค่ผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับผู้สอนด้วยเช่นกัน โดยงานศึกษาของ ไนยรา ออซมิซ-เอทเชอบาร์เรีย (Naiara Ozamiz-Etxebarria) และคณะ ในหัวข้อ ‘The Psychological State of Teachers During the COVID-19 Crisis: The Challenge of Returning to Face-to-Face Teaching’ ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology ฉบับวันที่ 12 มกราคม 2021 พบว่า บรรดาคณาจารย์มีสภาวะความเครียดเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มมาตั้งแต่เกิดการล็อคดาวน์ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนไปสู่ออนไลน์ในระยะเวลาอันจำกัด และยังมีข้อค้นพบว่า การต้องทำงานทางไกลผ่านระบบสื่อสารออนไลน์ สร้างความกังวล ตึงเครียด เหนื่อยล้า และลดขีดความสามารถในการทำงานลง รวมไปถึงการค้นพบว่าในช่วงระยะเวลาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครูเพศหญิงมีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาวะเครียดและซึมเศร้าได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะครูที่สอนในระดับประถมศึกษา
ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ ความเครียดและอาการซึมเศร้าจึงกำลังเข้าโจมตีทั้งผู้เรียนและผู้สอน จนทำให้พัฒนาการด้านการเรียนการสอนประสบปัญหาในภาพรวมเป็นอย่างมาก และปัญหาด้านสุขภาวะทางจิตนั้นก็ยังไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควรเหมือนกับปัญหาด้านสุขภาพที่มองเห็นได้ชัดอย่างการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 หรือมาตรการกักกันโรค ทำให้สังคมยังสนใจปัญหาด้านสภาพจิตใจในห้องเรียนน้อยจนน่าเป็นห่วง
สภาพปัญหาดังกล่าวยังคงทวีความหนักหน่วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กระบวนการแก้ไขปัญหาเองก็ยังมีออกมาให้เห็นอย่างไม่หยุดหย่อน แต่การแก้ไขสภาวะความเครียดสะสมและสภาวะซึมเศร้าจากวิกฤติ COVID-19 ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคนว่าสามารถแก้ไขที่จุดใดได้บ้าง โดยที่ยังคงรักษาระยะห่างทางสังคมและดำรงชีวิตอย่างระมัดระวังต่อการติดเชื้อได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม กรมสุขภาพจิตเองก็มีข้อแนะนำพื้นฐานในการจัดการแก้ไขปัญหาความเครียดที่สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของแต่ละบุคคลเอาไว้บนเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต  อาทิ    เข้าหาคนใกล้ชิด คนที่ไว้ใจได้    ยอมรับข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น  จัดตารางในชีวิตประจำวันให้สมดุลมากขึ้น แบ่งเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวให้ชัดเจน และทำงานอดิเรก และมีเวลานอนอย่างเพียงพอ เป็นต้น
 ในข้อเขียนดังกล่าวกรมสุขภาพจิตยังได้แสดงความมั่นใจ ว่าจะสามารถนำมาปรับใช้กับบรรยากาศในการเรียนของแต่ละคนได้ เพื่อขจัดปัญหาสภาวะเครียดและซึมเศร้าทั้งในครูและนักเรียน โดยอาจจะต้องเริ่มออกแบบกิจกรรมที่ทำให้ทั้งครูและนักเรียนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ในระดับที่นักเรียนสามารถพูดคุยระบายปัญหากับครูผ่านการสื่อสารทางไกลได้ รวมถึงการออกแบบการเรียนการสอนที่ทำให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเหลือเวลาว่างเพียงพอในการไปทำงานกิจกรรมอดิเรกของตนเอง โดยไม่ต้องจมอยู่กับหน้าจอเพียงอย่างเดียวจนเกิดสภาวะด้านลบสะสม
รวมทั้ง การสร้างข้อตกลงในการเรียนการสอนออนไลน์ ไปจนถึงวิธีการเรียน ตารางเรียน วิธีวัดผลการเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนมีเวลาในการจัดการกับความเครียดของตนเอง สร้างความรู้สึกเข้าใจ ปลอดภัยที่จะเข้าหา และมีความสุขไปกับการเรียนในชั้นเรียนวิถีใหม่ได้มากขึ้น