หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๙๓.๓)/บทความพิเศษ ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๙๓.๓)

 

คนจีนโพ้นทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด เสียเปรียบในทุกทาง แต่ทว่าก็ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในทุกดินแดนในโลก

สมัยก่อนพวกเขาต้องแอบอพยพออกมา เพราะผิดกฎหมาย มันเริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์ชิง

ตามกฎของขงจื้อ คนรักชาติต้องอยู่แต่ในชาติ คนที่หนีออกมาจึงเป็นคนไม่รักชาติ

รัฐบาลจีนทุกราชวงศ์จึงตอบต่อคนจีนโพ้นทะเลเยี่ยงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องการ ไม่ไยดี และจะดีใจมาก หากคนต่างชาติจะช่วยฆ่าพวกเขาให้หมดๆ ไป

ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชาวจีนโพ้นทะเล หลายครั้งก็ถูกรังแก ถูกเข่นฆ่า เหมือนเด็กกำพร้า เพราะไม่มีพ่อ-แม่หนุนหลัง

แต่พวกเขาอยู่รอดได้ด้วยความดีสามประการ ความอดทน ความขยัน และความรอบคอบ

สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมพื้นฐาน ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมาย แต่ทว่าก็แข็งแกร่ง

คนจีนโพ้นทะเลจึงมักจะมีฐานะดี รุ่งเรือง และเติบโตในนานาประเทศ

 

บรรพบุรุษของฉันก็เป็นคนจีนโพ้นทะเล นั่งเรือสำเภามาเมืองไทย พ่อของฉันเกิดในเมืองไทย แต่ได้กลับไปเรียนหนังสือชั้นประถมอยู่ที่เมืองจีนหนึ่งหรือสองปี แปลกใจที่ว่า ลายมือภาษาจีนของพ่อสวยงามมาก สวยกว่าฉันหลายสิบเท่า ลายมือของฉันในทุกภาษา น่าเกลียดมาก มันเป็นลายมือของเด็ก

ฉันเป็นรุ่นที่สาม ในรุ่นของฉัน ส่วนใหญ่ไม่มีความผูกพันใดกับเมืองจีนแล้ว หากถามฉัน ฉันก็จะตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่าฉันเป็นคนไทย ส่วนชาติจีน เป็นเหมือนดินแดนของญาติที่ใกล้ชิด เหมือนเป็นปู่-ย่าของฉัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

แต่ทุกครั้งที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของจีน มาถึงยุคราชวงศ์ชิง ยิ่งเห็นคนจีนต้องถูกบังคับให้ไว้ผมเปีย แสดงความเป็นทาสของชาวแมนจู ฉันมีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก ความรู้สึกนี้มาเอง อย่างลึกซึ้ง จนตัวเองก็แปลกใจ

เพราะอะไรหนอ

 

ประมาณหนึ่งร้อยปี ช่วงต้นราชวงศ์ชิง มีฮ่องเต้ที่สามารถหลายองค์ ปกครองประเทศจีนได้ดีกว่าราชวงศ์หมิงที่เพิ่งถูกโค่นล้มไป

แม้ประชาชนจะอยู่อย่างสุขสงบ แต่ทว่าไม่มีศักดิ์ศรี มีชีวิตแบบข้าทาส ได้ไม่เท่ากับเสีย

แม้ราชวงศ์หมิงจะเป็นยุคสมัยที่ดำมืด เหมือนหนังสยองขวัญ แต่การมีศักดิ์ศรีก็ยังดีกว่า

นี้คือความเจ็บปวด ฉันเกลียดทุกอย่างที่ทำให้คิดถึงชาวแมนจู ไม่ว่าเสื้อผ้า ทรงผม หรือของใช้

แต่หากมองยาวออก กว้างขึ้น ลึกขึ้น ก็ค่อยคลายความแค้น

ด้วยแม้คนจีนจะตกเป็นทาส แต่ชาวแมนจูก็ตกเป็นทาสของคนจีนด้วยเช่นกัน

เพราะสองร้อยกว่าปีที่พวกเขาปกครองชาติจีน พวกเขาได้ขยายอาณาเขตของจีนออกไปถึง ๔ เท่า เพราะราชวงศ์หมิงนั้นมีพื้นที่เล็กคือราว ๓ ล้านตารางกิโลเมตร แต่วันที่ราชวงศ์ชิงปกครองเมืองจีน พวกเขาได้ขยายอาณาเขตออกไปถึง ๑๓.๔ ล้านตารางกิโลเมตร

มันเกิดจากความเข้มแข็ง ความขยัน ความเฉลียวฉลาดของชาวแมนจู ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบ ความอดทน ในการสร้างอาณาจักรเหล่านี้

พวกเขาทำไปเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง แต่ท้ายสุด ก็ตกเป็นสมบัติของคนจีน ในวันที่พวกเขาถูกชาติจีนย่อยสลายแล้ว

วันที่ชาวตะวันตกมารุกรานประเทศจีน ในศตวรรษที่ ๑๙ หากเมืองจีนยังปกครองด้วยราชวงศ์หมิง ด้วยอาณาเขตที่เล็ก ชาติจีนอาจถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ สิ้นชาติไปแล้วก็ได้

แต่ชาวตะวันตกต้องตกตะลึงกับความมหึมาของชาติจีน มันใหญ่หลวง จะกลืนก็กลืนไม่ได้ จะเคี้ยวก็เคี้ยวไม่ลง นี้คือคุณของชาวแมนจู

 

โลกที่เราอยู่นี้ ต้องมองกว้าง มองลึก ภาพที่เห็นจึงจะสมบูรณ์

ยกตัวอย่างเช่น คนไทยที่บอกว่า มีคนอยากอพยพไปอยู่ชาติอื่น อันนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะโลกของเรานี้ ที่จริงมันรวมเป็นหนึ่ง

หลักคิดที่ว่า คนรักชาติต้องอยู่ในชาติ เป็นหลักคิดที่ล้าหลังไปหลายร้อยปี

เพราะคนไทยใดที่ไปอยู่ชาติอื่น หากพวกเขาอยู่ได้ ก็ยังคงไว้ด้วยความเป็นคนไทยอยู่ดี

และแพร่หลายลักษณะของชาติไทยไกลออกไปอีก นี้เป็นเรื่องดี ส่วนคนไทยบางกลุ่มที่แม้จะโอนสัญชาติไปชาติอื่นได้ แต่ไม่ทำ ยังกลับมาปักหลักอยู่เมืองไทย ด้วยเพราะชอบชีวิต ความเป็นอยู่ของเมืองไทยมากกว่า ก็ไม่ผิด ดีไปอีกแบบ สรุปการจะไปหรือไม่ไป ไม่เป็นปัญหาเลย

คำถามมีเพียงว่า เรามีคนไทยที่มีความสามารถมากน้อย คนรุ่นใหม่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกได้ไหม

สรุปคือ คนไทยจะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ พวกเขาจะโอนสัญชาติหรือไม่ก็ไม่สำคัญ หรือแม้กระทั่งว่า บางคนอาจถือสองสัญชาติ ไปๆ มาๆ ก็ยังได้ หกเดือนอยู่เมืองไทย หกเดือนอยู่ต่างชาติ ก็เท่ดี

มันขึ้นกับความสามารถของพวกเขา

 

๑๐

ในโลกนี้ มีเรื่องราวมากมาย ที่มองผิวเผินแสนจะรันทด แต่หากมองลึกลงไปก็ต้องอึ้ง เช่น สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีคนตายมากมาย เรียกได้ว่าเป็นสงครามที่โง่เขลายิ่งนัก

แต่ทว่ามันก็เปลี่ยนโลก

ก่อนสงคราม โลกของเรานี้ยังอยู่ในยุคของการล่าอาณานิคม และหลายประเทศในโลกยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ออสเตรีย รัสเซีย ชาติใหญ่เหล่านี้ ยังแบ่งแยกชนชั้นอย่างลึกซึ้ง มันคือยักษ์ทั้งนั้น

แต่ยักษ์เหล่านี้ล้มลงพร้อมกันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

หากไม่มีสงคราม จะล้มยักษ์เหล่านี้ ต้องทำยังไงหนอ จะยากลำบากเพียงใด

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลายสถาบันล้มครืนลง และหลายอาณานิคมก็เริ่มถูกปลดปล่อย

นี้คือจุดเริ่มต้นของจุดจบของการล่าอาณานิคม

๑๒

มองดูสงครามใหญ่สามครั้ง

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (1914-1918)

สงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945)

สงครามเย็น (1947-1991)

เริ่มจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในปี 1914 ชาวยุโรปยึดครองพื้นที่ 84% ของโลก ในนามของอาณานิคม เรียกได้ว่ายึดครองไปเกือบทั้งโลก เป็นการยึดครองแบบกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ โกยได้โกยเอา และคู่สงครามครั้งนี้ คือเจ้าอาณานิคมเหล่านี้นั่นเอง

สาเหตุของสงครามมีมากมาย แต่หนึ่งในนั้นคือความขัดเคือง ความขัดแย้งของผลประโยชน์ บาปกรรมที่พวกเขาได้ทำกับผู้อื่นมาช้านาน จนเป็นวิบากกรรมที่แกะออกไม่ได้

อาณานิคมเหล่านั้นจะค่อยๆ ได้รับอิสรภาพทีละน้อย ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จุดเริ่มต้นของมันคือสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สั่นสะเทือนสถาบันใหญ่น้อยเหล่านั้น ไปถึงราก

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือการล่มสลายของราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งก่อตั้งมาในปี 1867 โดยสืบเนื่องมาจากราชวงศ์ออสเตรีย (1804-1867) ตัวมันเองก็สืบเนื่องมาจากราชวงศ์ Habsburg สายออสเตรีย (1438-1806) ซึ่งสามารถสืบสาวไปได้ถึงต้นกำเนิดของมันในศตวรรษที่ ๑๑ นี้คือรากที่ลึกล้ำ ยาวนาน นี้คือต้นไม้ใหญ่อายุพันปี

และเป็นการล่มสลายของพระเจ้าไกเซอร์แห่งเยอรมัน พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย และการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน

เหล่านี้ล้วนเป็นสถาบันยิ่งใหญ่ รากฐานลึกล้ำ เฉพาะราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1613 นี้คือการล้มลงของยักษ์หลายตัว

 

๑๓

สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นภาคสองของสงครามโลก แตกต่างไปบ้าง เพราะคราวนี้คือสงครามระหว่างประเทศที่เป็นขวาจัด เป็นรัฐทหาร ซึ่งมีสามประเทศใหญ่ๆ ได้แก่ นาซีแห่งเยอรมัน ฟาสซิสแห่งอิตาลี และกองทัพแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย สู้กับกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตย โดยมีก๊กที่สาม คือประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่ถูกกับทั้งสองฝ่าย

หากแต่ทว่า ด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราดของฝ่ายขวาจัด ทำให้พวกเขาต้องหันมาเป็นพันธมิตรกับโลกเสรี หลังจากชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาสองกลุ่มก็ต้องหันมาทำสงครามเย็นต่อกันอีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นานถึง ๔๔ ปี

นี้คือซากศพของยักษ์ทับถมอยู่บนซากศพของยักษ์

๑๔

โลกเปลี่ยนไปมาก ในการเข้าสู่ยุคปัจจุบัน อุดมคติทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรง่ายดายเลย มนุษย์ต้องทุ่มทุนมหาศาลในความเปลี่ยนแปลงนั้น และเรายังไม่รู้เลย ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คล้ายจะแพ้ไปแล้ว ก็ยังไม่แพ้จริง มันยังอยู่ในประเทศจีน

ตอนแรกฉันคิดว่า คงเป็นเพียงแค่เปลือก ไม่ช้าชาตินี้ก็ต้องกลับมาเป็นเช่นเดียวกับโลกเสรี

แต่ฉันคิดผิด พวกเขาก็มีทิศทาง วิธีการของตัวเอง เรายังอยู่ในสงครามชนชั้น แต่ลึกซึ้งกว่านั้น ซับซ้อนกว่านั้น