ภาพยนตร์/DESPICABLE ME 3 “ผู้ร้ายที่กลายเป็นพระเอก”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

DESPICABLE ME 3 “ผู้ร้ายที่กลายเป็นพระเอก”

กำกับการแสดง Eric Gullen และ Kyle Balda

เสียงพากย์ Steve Carell, Kristen Wlig, Trey Parker, Miranda Cosgrove, Julie Andrews

หนังการ์ตูนของยูนิเวอร์แซลในชื่อ Despicable Me ออกฉายครั้งแรกใน ค.ศ.2010 และฮิตติดตลาดในทันที จนมีภาคสอง (2013) และภาคสาม (2017) ตามต่อมาในขณะนี้ โดยระหว่างนั้นมีหนังที่แตกลูกตามมา (จะเรียกว่า “หนังอนุพันธ์” เหมือน “หุ้นอนุพันธ์” ได้หรือเปล่านะ เพราะภาษาอังกฤษใช้คำว่า derivative เหมือนกัน) ในชื่อ Minions

มินเนียนเป็นตัวการ์ตูนสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสมุนจอมวุ่นที่น่ารักน่าเอ็นดูของยอดวายร้ายชื่อ กรู (เสียงของ สตีฟ คาเรลล์) มินเนียนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนยาเม็ดแคปซูลสีเหลือง มีตาเดียวบ้าง สองตาบ้าง ใส่แว่นกลม และพูดภาษากระหนุงกระหนิงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาใดที่ออกจากปากมนุษย์ในโลก

ผู้สร้างพบว่ามินเนียนเป็นตัวละครที่โดนใจแฟนหนังมาก ถึงขั้นที่ผู้สร้างเกิดแรงบันดาลใจให้สร้างเรื่องราวแตกแขนงออกมาจากเรื่องหลัก

โดยพูดถึงความเป็นมาของมินเนียนก่อนจะมาเป็นลูกกระจ๊อกของกรู

กลับมาถึงหนังแฟรนไชส์ Despicable Me อีกทีนะคะ กรูเป็น “ซูเปอร์วิลเลน” ที่กลับตัวมาเป็น “ซูเปอร์ฮีโร่” เป็น “ซูเปอร์แบ๊ด” ที่กลับใจมาเป็น “ซูเปอร์แด๊ด” โดยรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าหญิงสามคน และทิ้งโลกอาชญากรรมสุดชั่วช้า มากอบกู้โลกด้วยการเข้าร่วม “สันนิบาตต่อต้านวายร้าย” ที่เป็นการรวมพลังของฝ่ายธรรมเพื่อต่อต้านอธรรม

ในภาคสอง กรูพบรักกับลูซี่ (เสียงของ คริสเตน วลิก) ซูเปอร์เอเย่นต์ของสันนิบาตต่อต้านวายร้าย และแต่งงานครองคู่กัน ในภาคสามนี้ ลูซี่เรียนรู้การทำตัวเป็นแม่ที่ดีให้แก่ลูกสาวตัวน้อยทั้งสาม โดยทำผิดบ้างถูกบ้างไปตามเพลง

อาชญากรรมทุกเรื่องในหนังชุดนี้ก็เป็นระดับ “ซูเปอร์” ตามศักดิ์ศรีของซูเปอร์วายร้าย ภาคแรกกรูขัดขวางซูเปอร์วายร้ายอีกตัวที่เพิ่งแซงหน้าเขาไปด้วยการขโมยมหาพีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์นั่นแหละค่ะ

กรูไม่ยอมถูกฉีกหน้าการแย่งชิงความเป็นอภิมหายอดวายร้ายแบบนี้ จึงวางแผนจะขโมยสิ่งที่ขโมยยากกว่าพีระมิดขึ้นไปอีก นั่นคือขโมยพระจันทร์มาไว้ในครอบครอง

แต่ก่อนจะขโมยมาได้ ก็ต้องย่อขนาดพระจันทร์ลงเสียก่อน การทำเช่นนั้นต้องใช้ลำแสงย่อส่วนที่เพิ่งคิดค้นได้

ซูเปอร์วายร้ายในภาคสามเป็นซูเปอร์แบ๊ดคนใหม่ นามกรว่า บัลธาซาร์ แบรตต์ (เสียงของ เทรย์ พาร์เกอร์) ซึ่งกำลังขโมยเพชรสีชมพูเม็ดมหึมาในพิพิธภัณฑ์ไปไว้ในครอบครอง เพื่อพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่คุกคามมนุษยชาติ

บัลธาซาร์เป็นอดีตดาราเด็กที่เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่หลงใหลหมกมุ่นในบทบาทการแสดงและแคแร็กเตอร์ที่ตนเคยเล่นในหนัง บัลธาซาร์สวมชุดในสไตล์ร็อกสตาร์สีม่วงสด บ่าหนุนเป็นปีกอินทรธนู จะว่าคล้ายชุดของเอลวิสก็ละม้าย คล้ายชุดยอดมนุษย์ของการ์ตูนญี่ปุ่นก็เหมือน

และอาวุธของเขาคือหมากฝรั่งซูเปอร์กัมที่พองลมและเหนียวติดหนึบ และกองทัพหมากฝรั่งตัวเล็กๆ ที่คอยเป็นแบ๊กอัพของเขา

เมื่อเปิดเรื่อง กรูในฐานะซูเปอร์สายลับของสันนิบาตต่อต้านวายร้าย กำลังติดตามล่าตัวบัลธาซาร์ที่ขโมยเพชรสีชมพูมา และต่อกรกันหลายยก…รวมทั้งอาวุธสุดยอดของแต่ละคน ที่ถือเป็นไม้ตาย คือ การดวลเต้นรำ

ผลก็คือ กรูรักษาเพชรสีชมพูไว้ได้จากบัลธาซาร์ แต่ว่าตัวจอมโจรหนีรอดไปได้

และผลที่ตามต่อมาก็คือ กรูกับลูซี่ถูกไล่ออกจากสันนิบาตต่อต้านวายร้าย ซึ่งเพิ่งจะมีหัวหน้าคนใหม่มาบริหารองค์กร

กรูก้าวถึงจุดตกต่ำในชีวิตอีกครั้ง คือต้องกลับมาประเมินสถานภาพของตัวเองหลังจากกลับตัวกลับใจย้ายจากฝ่ายอธรรมไปอยู่กับฝ่ายธรรมะ คราวนี้กลับกระเด็นออกจากฝ่ายธรรมะมาอยู่โดดเดี่ยวกับครอบครัวโดยหมดหนทางทำมาหากิน

พวกมินเนียนลูกกระจ๊อกที่เคยติดตามก็เอาใจออกห่าง เพราะไม่มีวายร้ายให้ติดตามรับใช้อีกแล้ว แถมเด็กหญิงที่กรูเลี้ยงดูเหมือนลูกก็คิดว่าพ่อหมดหนทางจนเริ่มเอาของเล่นสุดรักออกขายหน้าบ้าน

ในช่วงแห่งการตัดสินใจครั้งใหญ่สำหรับอนาคตของตนนั้นเองก็มีชายแปลกหน้ามาติดต่อกรูให้เดินทางไปพบชายชื่อ “ดรู” ซึ่งอ้างว่าเป็นคู่แฝดที่ถูกพรากจากไปตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่แยกทางกัน

ถึงตรงนี้ เราจึงได้ยินเสียงของดาราผู้ยิ่งยง จูลี แอนดรูส์ ในบทแม่ของกรู ในฉากเล็กๆ ที่เล่าความหลังเรื่องพ่อให้ฟังและยืนยันว่ากรูมีคู่แฝดชื่อดรูจริงๆ

เรื่องราวของกรูที่ไปเจอดรู คู่แฝดหน้าเหมือน แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่เรือนผมทองสลวยดกหนาของแฝดดรู ส่วนแฝดกรูนั้นเราเห็นมาตั้งแต่ภาคแรกว่าหัวโล้นเลี่ยนไม่มีผมสักเส้น

และความแตกต่างสำคัญอีกจุดอยู่ที่ลักษณะนิสัย พ่อผู้เป็นอภิมหาวายร้ายคนหนึ่ง ทิ้งสมบัติหน้าฉากเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูไว้ให้ดรู ซึ่งไม่เคยทำตัวเป็นซูเปอร์วายร้ายให้พ่อภูมิใจได้เลย ดรูจึงอยากร่วมมือกับกรูประกอบอาชญากรรมที่จะสร้างชื่อให้ตนบ้าง

นั่นคือการเสี่ยงภยันตรายนานาไปขโมยเพชรสีชมพูซึ่งตกไปอยู่ในครอบครองของบัลธาซาร์แล้ว และถูกเก็บรักษาไว้ในเกาะกลางสมุทรที่รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาที่สุด

หลังจากภาคแรกที่สนุกสุดๆ และภาคสองที่หักมุมด้วยความคิดที่เวิร์กพอใช้ ในภาคสามนี้ ทิศทางของหนังออกจะสะเปะสะปะ ฉากสนุกๆ ก็ยังคงมีอยู่ประปราย แต่ทว่า หนังให้ความรู้สึกว่ายัดไอเดียเข้ามาหลายสายหลายทางจนส่งผลต่อเอกภาพของเรื่องราวที่ดูกระจัดกระจายขาดทิศทาง

เรื่องราวของคู่แฝดที่พลัดพรากกันไป ของการทำตัวเป็นพ่อแม่แก่เด็กพยศ ของการแสวงหายูนิคอร์น ฯลฯ ดูจะเป็นเรื่องหลัก และทำให้เรื่องราวของการต่อกรระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมดูเจือจางลงไปมาก อันที่จริงการมีพล็อตรองหรือพล็อตย่อยนั้นไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่าพล็อตรองนั้นไม่น่าจะดูเหมือนการออกนอกเรื่อง แต่น่าจะส่งผลหรือเน้นย้ำให้เห็นพล็อตหลักได้ชัดเจนและโดดเด่นขึ้น

อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังดูสนุกในระดับหนึ่ง และสำหรับแฟนพันธุ์แท้ก็ยังไม่ควรพลาดค่ะ