Café Lumiere หนังสือ, กาแฟ, ‘รักแท้’ ไม่มีบทบรรยาย/บทความพิเศษ มีเกียรติ แซ่จิว

บทความพิเศษ

มีเกียรติ แซ่จิว

 

Café Lumiere

หนังสือ, กาแฟ, ‘รักแท้’ ไม่มีบทบรรยาย

 

เงียบๆ ลำพังคนเดียวในร้านกาแฟ บางครั้งชีวิตก็ต้องการเท่านี้

หนังสือสักเล่ม ไร้บทสนทนา ปิดเครื่องมือสื่อสาร ใครสักคนที่เข้าใจ มองอยู่ห่างๆ ก็รู้ว่าห่วงใย ไม่พูด ไม่แสดงออก คิดถึงค่อยแวะมาหา มาเจอกัน

เธอชอบเข้าร้านกาแฟ ร้านหนังสือมือสอง พูดน้อยนับคำ เธอท้องกับแฟนชาวไต้หวัน อุ้มท้องกลับบ้าน ไม่แต่ง ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ บอกแม่เลี้ยงเหมือนเป็นเรื่องปกติ “หนูเลี้ยงของหนูเองได้” ดำเนินชีวิตต่อ เหมือนไม่แคร์ ไม่สน ชอบคิด อ่าน เขียน ลำพัง

เขาเข้าใจในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ อ่านใจเธอเหมือนอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาไม่เคยเดินทางไกล นอกจากอยู่เฝ้าร้านหนังสือ ชอบบันทึกเสียงรถไฟเป็นงานอดิเรก มองดูเธองีบหลับบนรถไฟ ไม่ไปรบกวน

เคารพพื้นที่ผ่อนพักใจในโลกของเธอ

เธอชื่อ ‘โยโกะ’ เป็นนักเขียน ตอนนี้กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับนักแต่งเพลงชาวไต้หวันชื่อ ‘เจียงเหว่ย’ เธอให้ ‘ฮาจิเมะ’ ชายหนุ่มร้านหนังสือช่วยหาข้อมูล แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน

เธอชอบไปนั่งที่คาเฟ่เอริก้าและใช้บริการจากร้านให้มาส่งกาแฟให้เขาที่ร้านหนังสือ ตอนกลับจากไต้หวันมาใหม่ๆ เธอซื้อนาฬิกามีสายห้อยให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด

แม่เลี้ยงของโยโกะพอทราบเรื่องตั้งครรภ์ เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เป็นนักเขียนรายได้ไม่แน่นอน ไม่มีงานประจำ กลัวลูกจะลำบาก ไหนต้องมาเลี้ยงลูกเองอีกในวันข้างหน้า เธอบอกสามีให้ช่วยพูดกับลูก แต่เขาก็ได้มองหน้าลูกสาว ตักอาหารที่ลูกชอบใส่ชามให้ ส่วนตัวเองก็ได้แต่ดื่มและดื่มโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวแม้สักคำ

โยโกะดำเนินชีวิตไปตามปกติ เข้าออกร้านกาแฟ เข้าออกร้านหนังสือ นัดเจอฮาจิเมะบ้าง โทร.คุยความฝันให้เขาฟัง วันไหนรู้สึกไม่สบาย เขาก็มาอยู่เป็นเพื่อน ทำอาหารให้ทาน ห่วงใย ใส่ใจ แต่ก็เว้นพื้นที่ส่วนตัวระหว่างกัน ไม่ก้าวก่ายล่วงเกิน เป็นเพื่อนแต่มากกว่าเพื่อนในความรู้สึก

ราวบทกวีร่วมกันแต่ง นิ่ง เงียบ สงบ ไหลเรื่อยเหมือนน้ำใสสะอาดในลำธาร กลางป่าเขาลำเนาไพร แดดลอดแมกไม้ อบอุ่น อ่อนโยน โลกภายนอกเป็นเช่นไร โลกภายในของเขาและเธอ รับรู้ว่ามีกันและกัน

ท่ามกลางเสียงรถไฟอึกทึก คายและกลืนคนเข้าออกอยู่ทุกวัน วิถีของเมืองใหญ่ ผู้คนต่างชินชา รีบเร่ง ร้อนรน แข่งขัน และเหนื่อยจนชาชิน ในโลกที่ต้องอยู่ให้เป็น อยู่อย่างรู้ในความต้องการของตัว จึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากไหลล่องไปตามกระแส หลงวัตถุ เสพตามความอยาก จับเงาตัวเองไม่อยู่ ภาพตั้งคนอื่นคือคนที่อยากเป็นมากกว่าเป็นตัวเอง

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา คงไม่ใช่กับคนทั้งสอง รถไฟคายและกลืนคนเข้าออก แต่เขากับเธอยังยืนอยู่…

คนหนึ่งยืนบันทึกเสียงรถไฟ อีกคนยืนอยู่เป็นเพื่อน ไม่มีบทสนทนา ฟังเสียงรถไฟร่วมกัน

ภาพสื่อแทนคำนับพัน รถไฟยังเคลื่อนขบวนต่อ ไม่ต่างจากชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไป

 

Café Lumiere (2003) ผลงานกำกับฯ ของผู้กำกับฯ ชาวไต้หวัน ‘โหวเสี้ยวเสียน’ สร้างขึ้นเนื่องในวาระครบรอบร้อยปีแด่การจากไปของ ‘ยาสุจิโร่ โอสุ’ (หากนับจนถึงตอนนี้ก็ล่วง 117 ปีแล้ว) ผู้กำกับฯ ที่ชอบถ่ายทอดความสัมพันธ์ของครอบครัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สไตล์ภาพเนิบช้า แช่กล้องนิ่งนานจนกลายเป็นเอกลักษณ์

หนังขาว-ดำหลายเรื่องของโอสุจึงต้องใช้ใจสัมผัส ไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำ ซึมซับไปสู่ความแตกหัก หมางเมิน เช่น ในหนังดังอย่าง Tokyo Story (1953) ในฉากที่พ่อ-แม่มาเยี่ยมเยียนลูกๆ ที่โตเกียว และเหมือนกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว หรือตอนที่ทั้งสองนั่งปรับทุกข์กันเรื่องเด็กๆ ตัวน้อยของพวกเขาที่ในวันนี้แปรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน

ซึ่งใน Café Lumiere ก็ทำออกมาคารวะโอสุด้วยประการนี้ โดยปรุงปรนเรื่องราวให้ร่วมยุคร่วมสมัยมากขึ้น ร้านกาแฟที่ในวันนี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย การออกมาอยู่คนเดียวลำพัง ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน ปัญหาท้องก่อนแต่ง กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ทำงานประจำเป็นหลักแหล่ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมโลกาภิวัตน์

เราจึงได้เห็นคู่พระ-นาง ‘โย ฮิโตโตะ’ กับ ‘ทาดาโนบุ อาซาโนะ’ เดินปะปนผู้คนบนท้องถนนได้อย่างกลมกลืน หลายต่อหลายฉาก ผู้คนที่เดินผ่านไป-มายังหันมอง ประหนึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าใช่คนดังหรือเปล่า ความเป็นคนดังกับสาธารณะ จึงไหลรวมเป็นเนื้อเดียวได้อย่างร่วมสมัย ไม่ต่างระดับเกินเอื้อมเหมือนสมัยก่อน

ด้านตัวหนังอาจไม่มีอะไรหวือหวา แปลกใหม่ น่าตื่นตา ตัดต่อฉับไว เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เราสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน (ยิ่งทุกวันนี้ร้านกาแฟน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย สวนทางกับคนอ่านหนังสือที่โหรงเหรงบางตาลงอย่างน่าใจหาย)

แต่คงเพราะความธรรมดา แต่มากด้วยความรู้สึกเช่นนี้เอง Café Lumiere จึงเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์ ไม่ต่างจากหนังขาวดำหลายเรื่องของโอสุ ที่ต่างก็ให้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน

…คือเกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจเมื่อหนังจบลง จนอยากกอดใครสักคน…