คำ ผกา : เลือกสักทางไหม?

คำ ผกา

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานที่น่าสนใจหลายข่าว (อย่างน้อยสำหรับตัวฉันเอง)

ไม่ว่าจะเป็นข่าวศาลโคลอมเบียรับรองการแต่งงานของครอบครัวชายสามคน

ข่าวเล็กๆ ในแจแปนส์ไทมส์ที่พูดถึงความร่วมมือระหว่างเทศบาลท้องถิ่นกับบริษัทจัดหาคู่ เพื่อจัดหาคู่ให้กับชายหนุ่มในท้องถิ่นต่างๆ ที่เกิดภาวะขาดแคลนประชากรเพศหญิง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การแต่งงานและการมีครอบครัว ในบางกรณีต้องการการช่วยเหลือ แทรกแซงจากรัฐอย่างตรงไปตรงมา

ข่าวต่อจากนั้น เป็นความฮือฮาในสื่อไทย อันเนื่องจากการเปิดตัวของมาดามไปรยา ที่อ้างว่ามีประสบการณ์ 5,000 เดต และมาดามจะใช้ประสบการณ์นี้ในการแนะนำผู้หญิงไทยที่อยากประสบความสำเร็จในการหาคู่ เป็นผู้ชายฝรั่ง หรืออาหรับ

และที่สำคัญมาดามจะให้คำแนะนำว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบในความสัมพันธ์ แถมยังทำเงินทำทองได้ด้วย

และที่เป็นของแถมจากข่าวนี้และทำให้เรื่องมันพีกขึ้นมาได้อีกหน่อยคือ ความเห็นของคุณระเบียบรัตน์ เรื่อง “ภรรยาคือโสเภณีของสามี”

ทั้งสามข่าวนี้ทำให้เราเห็นพลวัตมิติต่างๆ ในเรื่องความรัก การแต่งงาน และบทบาทของรัฐ อันเป็นสิ่งที่สังคมไทยยังมองเห็นความเชื่อมโยงและตระหนักในความเปลี่ยนแปลงของสามสิ่งนี้ในชีวิตของคนสมัยใหม่อย่างไม่ชัดเจนนัก

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากความขาดแคลนองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์สังคม โดยเฉพาะประวัติว่าด้วยความรัก กามารมณ์ และประวัติศาสตร์ครอบครัว ที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบรัฐ และระบบการเมืองการปกครอง

เมื่อขาดแคลนความรู้ทางประวัติศาสตร์ด้านนื้ จึงทำให้องค์ความรู้เรื่องความรัก กามารมณ์ และครอบครัวของสังคมไทย แข็งทื่อ ตายด้านอยู่กับที่ ปราศจากการขยับเขยื้อน

นั่นคือ คนไทยส่วนใหญ่ รวมไปถึงตำราสุขศึกษา คำสอนที่แพร่หลายอยู่ในรายการผู้หญิง ครอบครัว แม่และเด็ก สื่อที่พูดถึงสถาบันครอบครัว ยังคงยึดองค์ความรู้เรื่องความรักและครอบครัวที่เป็นเวอร์ชั่นเมื่อรัฐชาติไทยสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้น

นั่นคือ เป็นไปตามตำราที่นายแพทย์ ปัญญาชน นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการศึกษา ทศวรรษที่ 2470s ผลิตขึ้นมา

สิ่งที่รัฐสมัยกำหนดให้เป็นมาตรฐานและบรรทัดฐานของความรัก กามารมณ์ และครอบครัว ต้องมีองค์ประกอบดังนี้

– เป็นความรักระหว่างหญิง-ชายเท่านั้น ผิดจากนี้ถือเป็นความป่วยไข้ทั้งทางกาย ทางจิต

– เป็นความรักที่เป็นไปโดยสมัครใจ มิใช่คลุมถุงชน

– เซ็กซ์ที่ดีคือเซ็กซ์ที่เกิดจากความรัก

– เป็นครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว มิใช่ผัวเดียวหลายเมียดั่งยุคโบราณ (จึงมีความพยายามออกกฎหมายผัวเดียว-เมียเดียว หลังการปฏิวัติสยาม 2475)

– หญิงและชาย มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทว่า แบ่งหน้าที่และบทบาทอย่างชัดเจน เช่น ผู้หญิงเป็นแม่ ผู้ชายเป็นพ่อ ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว รับผิดชอบเรื่องนอกบ้าน ผู้หญิงเป็นแม่บ้าน และเป็นใหญ่ในบ้าน ผู้ชายต้องให้เกียรติ ยกย่องผู้หญิงในฐานะที่เป็นเพศแม่; ต้องดูแล ช่วยถือของ ไม่ให้ผู้หญิงลุกให้นั่งบนรถเมล์ ผู้ชายต้องเสียสละ ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงคุณค่า “เก่า” ที่ยึดถือกันมาแต่โบราณกาลของสังคมไทย ทั้งเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติผัวเดียว หลายเมีย, การแต่งงานแบบบังคับคลุมถุงชน การเห็นลูกเป็นทรัพย์สินของพ่อแม่ จึงทำให้มีการขายลูกเป็นทาส หรือนำไปขัดดอก หรือแม้กระทั่งการเห็นภรรยาเป็นทรัพย์ของสามี สามีสามารถขายภรรยาเป็นทาส หรือเอาไปใช้หนี้สินได้

บรรทัดฐานใหม่หลัง 2475 จึงเป็นปฐมบทว่าด้วยสิทธิพลเมือง สิทธิหญิงชาย การเข้าสู่ความเป็นความอารยะสมัย

แต่ปัญหาขององค์ความรู้นี้ในสังคมไทยคือ เราไม่ได้คิดว่านี่คือผลผลิตของรัฐชาติและการเมือง

แต่เรากลับเอาองค์ความรู้และบรรทัดฐานนี้ไปผูกโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความดี ศีลธรรม การเป็นพุทธศาสนิกชน ประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยที่ดีเหลือเกิน

ความย้อนแย้งที่เกิดขึ้น คนไทยปัจจุบันนำเอาบรรทัดฐานที่เกิดใหม่เมื่อ 85 ปีก่อน มาเคลมว่านี่คือความเป็นพุทธ และคือความเป็นไทยแท้แต่โบราณ อนิจจังอนิจจา ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้คือความเป็น “ฝรั่ง” ทั้งสิ้น

เมื่ออะไรๆ คือความเป็นไทยเสียแล้ว มันจึงยากจะเปลี่ยนแปลง

เพราะเรามีแนวโน้มจะเห็นว่า ความเป็นไทยเท่ากับความดีความงามคือสัจธรรมอยู่ยงคงกระพันด้วยตัวของมันเอง

ในขณะที่โลกตะวันตกและอารยประเทศอื่นๆ เริ่มวิพากษ์ เริ่มตั้งคำถามกับความรักโรแมนติก ความรักที่จำกัดอยู่แค่หญิงชาย สถาบันครอบครัวที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ลูก หมา บ้าน สนามหญ้า อาหารเย็น เข้าสู่ความเป็น “หลังสมัยใหม่” พร้อมคอนเซ็ปต์ครอบครัวทางเลือก ทั้งครอบครัว พ่อเดียว แม่เดียว ครอบครัว เพศเดียวกัน ในรูปแบบต่างๆ

ครอบครัวที่ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้าน รวมไปถึงการไม่ต้องเอาตัวเองไปยัดไว้ในนิยามของคำว่า “ครอบครัว”

หรือการแต่งงาน 3 คนเพศเดียวกัน ในอนาคตอาจจะมีการแต่งงานมากกว่า 3 คน ที่มีทั้งหญิงและชาย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปนั่งตั้งคำถามว่าใครเป็นเกย์ ใครไม่เกย์ เพราะในอนาคตอันใกล้ วิถีกามารมณ์อาจจะพ้นเส้นของความเป็นเกย์ เป็นไบเซ็กช่วล เพราะมนุษย์สามารถมีเซ็กซ์กับใครก็ได้ที่เขาปรารถนาจะมีโดยที่เพศทางชีววิทยาและสังคมของเขาไม่ใช่เงื่อนไข

ไม่นับว่ายุคแห่งการมีเพศสัมพันธ์กับหุ่นยนต์ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันแล้วอย่างหลีกหนีไม่ได้ ยังไม่นับเทคโนโลยีอย่าง VR และ AR ที่กำลังจะปฏิวัติวิถีกามารมณ์ของมนุษย์โดยที่มนุษย์อย่างเราคาดไม่ถึง จินตนาการไม่ได้

และมนุษย์อะนาล็อกอย่างฉันอาจดูคล้ายมนุษย์หินไปเลย เมื่อเวลานั้นมาถึง

TOPSHOT – One of two Indonesian men is publicly caned for having sex, in a first for the Muslim-majority country where there are concerns over mounting hostility towards the small gay community, in Banda Aceh on May 23, 2017.
The pair, aged 20 and 23, were found guilty of having broken sharia rules in conservative Aceh province — the only part of Indonesia that implements Islamic law — and sentenced to 85 strokes of the cane each. / AFP PHOTO / CHAIDEER MAHYUDDIN

แน่นอนว่า ครอบครัวทางเลือกและวิถีกามารมณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่เป็นหรือไม่มีวันเป็นกระแสหลักของคนส่วนใหญ่

แต่อย่างน้อย หลายสังคมในโลกนี้ที่ตระหนักว่า วิถีแห่งความรักและกามารมณ์นั้นมิใช่เป็นสัจธรรมแห่งความเป็นหญิงที่ต้องคู่กับชายเท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่มันคือวัฒนธรรมที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมากับมือ

ดังนั้น มันจึง revised ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ยักย้ายถ่ายเทได้เสมอ

และถึงที่สุดแล้ว เราไม่ควรต้องไป dictate หรือไปเจ้ากี้เจ้าการ ไปบงการควบคุมให้มนุษย์ต้องมีความรักได้แบบเดียวคือหญิงและชาย

มากไปกว่านั้นก็ควรเลิกบงการให้ทุกคนสมาทานระบบผัวเดียวเมียเดียวโดยทึกทักว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดทางศีลธรรม

สำหรับในขบวนการเรียกร้องสิทธิการแต่งงานของคนเพศเดียวกันจะไม่มีความหมายเลย หากไม่พ่วงเอาการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายผัวเดียวเมียเดียวเข้าไปด้วย

เพราะไม่เช่นนั้น การแต่งงานแบบสามชาย อย่างที่ชื่นชมในเคสของโคลอมเบียก็จะเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ถามว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ไหมในสังคมไทย

คำตอบคือยากมาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังสมาทานอุดมการณ์ความรัก กามารมณ์ที่นำเข้ามาในเมืองไทยเมื่อ 100 ปีที่แล้วว่าคือสัจธรรรม คือกฎธรรมชาติ

เรายอมรับการมีอยู่ของเกย์ กะเทย ทอม ดี้ ได้ในลักษณะของการไม่รังเกียจ ซึ่งเท่ากับว่าเรายังเห็นเป็นความผิดปกติอยู่นั่นเอง

เพียงแต่เราใจดีพอที่จะไม่ไปทุบไปตี แถมยังให้ความรักความเมตตาให้อยู่ร่วมโลก มีความก้าวหน้าประหนึ่งคนที่ตระหนักแล้วว่าหมูห้าเล็บไม่ใช่ตัวซวย ไม่ต้องเอาไปปล่อยวัด เลี้ยงได้ ไม่เป็นไร – ทำนองนั้น

เมื่อสังคมไทยอยู่กันแบบนี้ เพจมาดามไปรยา จึงเป็นความบันเทิงอย่างยิ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทุกสิ่งในเพจมาดามไปรยาคือ พารอดี้ (parody) ล้อเล่น ล้อเลียน ถากถาง ทุกความเป็นไทยจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด

มาดามมานั่งชิลล์ พูดเรื่องหาผัวฝรั่ง หาผัวอาหรับ จะเอาเงินเอาทองมาจากพวกเขายังไง – บทบาทของมาดามเหมือนทีมโจรสลัดสาวเตรียมปล้นเรือสินค้า วิชาแรกที่มาดามสอนคือ ดูให้ออกว่าเรือไหนร่ำรวย ไม่เสียแรงปล้นให้เหนื่อยเปล่าโดยไม่ได้อะไรกลับมา

สิ่งที่มาดามทำ และเปิดสอนให้ผู้หญิงคนอื่นทำ อย่างเปิดเผยในเพจนั้น ไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผู้หญิงไทยชนชั้นกลาง ไปถึงสูง ดารา นักร้อง ทำกันอยู่แล้ว นั่นคือการแต่งงานต้องนำมาซึ่งการ up class หรือไต่ขั้นบันไดทางชนชั้น ไม่อย่างนั้นเราจะได้อ่านข่าวบันเทิงดาราสาวเดตกับไฮโซตระกูลดัง ได้ทุกวี่ทุกวันหรอกหรือ

ดาราคนไหนได้แต่งงานกับไฮโซตระกูลดังร่ำรวย เราก็เรียกเธอว่าซินเดอเรลล่า นางฟ้า อะไรไปนู่น ชื่นชมโสมนัส ดีใจว่า เป็นบุญแท้ได้ผัวรวย ตระกูลดี – อือม – ทั้งหมดนี้คือการพบรักกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปราศจากการคิดคำนวณวางแผนไตร่ตรอง เป็นรักโรแมนติกแท้ๆ ใช่หรือไม่ ใครกล้าการันตี แต่พอมันเกิดกับผู้หญิงชนชั้นกลางหรือดารา นักร้อง มันดูดีจัง

ทว่า เมื่อมันเกิดกับสาวชาวบ้านและออกจากปากผู้หญิงอย่างมาดามที่ประกาศตรงไปตรงมาถึงวาระทางเศรษฐกิจการเงินกับการหาสามีต่างชาติ กลับกลายเป็นเรื่องชวนหัวสำหรับชนชั้นกลางไปเสียฉิบ

และบรรดาชนชั้นกลางก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองนอกจากจะไม่ดีกว่าเขา ยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับว่าลึกๆ ใครๆ ก็ล้วนอยากแต่งกับ “เงิน” เหมือนมาดามทั้งนั้นแหละ

สิ่งที่ได้เห็นในสังคมไทยคือสังคมเสรีนิยมแบบมีพลวัตให้มีรูปแบบของความรักและสถาบันครอบครัวที่หลากหลายก็ไม่เกิด เพราะไม่ยอมรับว่าความรักและกามารมณ์เป็นสิ่งประกอบสร้างทางสังคมและการเมือง สังคมที่หลุดจากการประกอบสร้างทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมแบบมาดามไปรยาก็รับไม่ได้

ชนชั้นกลางไทยถ้าไม่เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงต้องอยู่อย่างประดักประเดิดไปแบบนี้อีกนานและมีคนอย่างระเบียบรัตน์ที่บอกว่า เมียคือโสเภณีของผัว เป็นแบบอย่างที่ดีของกุลสตรีไทยต่อไป