เรื่องสั้น : เด็กเลี้ยงแพะ

เกิดเหตุระเบิดรถฮัมวี่บรรทุกทหารห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก สภาพศพทหารที่เกลื่อนถนนมีบาดแผลคล้ายถูกจ่อยิงซ้ำ ที่รอดชีวิตมีเพียงทหารสี่นายที่ขับและซ้อนมอเตอร์ไซค์นำหน้าขบวนไปเป็นคู่ พวกเขายิงต่อสู้และวิทยุขอความช่วยเหลือ แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานกองกำลังลึกลับที่วางแผนมาเป็นอย่างดี จึงต้องล่าถอยเพื่อรักษาชีวิต สองข้างทางบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นแนวป่าทึบ ถนนลัดเลาะเลี้ยวโค้งไปตามริมเชิงเขาเหมาะแก่การซุ่มโจมตี ก่อนเกิดระเบิดเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เด็กชายร่างสูงโปร่งเพิ่งต้อนฝูงแพะผ่านจุดเกิดเหตุไป

ตอนนั้นฝูงแพะเดินผ่านหมู่บ้าน ก่อนจะตัดลงทุ่งกว้าง ในขณะที่พวกมันเล็มกินใบไม้ที่ริมลำธารเชิงเขา แรงระเบิดก็สั่นสะเทือนและเสียงอันอึกทึกนั้นทำให้ฝูงแพะแตกตื่น พวกมันส่งเสียงร้องแมะๆ พลางวิ่งกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง เด็กชายตะลีตะลานคว้ากิ่งไม้ข้างทางมาใช้ไล่ต้อนพวกมันให้รวมฝูง ฝูงแพะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ วิ่งหายเข้าไปในป่ารกทึบริมเชิงเขา บางกลุ่มวิ่งตัดลงไปในลำธารข้ามไปอีกฟาก และบางกลุ่มวิ่งขึ้นท้องถนนย้อนกลับไปทางเดิม

เด็กชายไล่ต้อนพวกมันจนเหนื่อยหอบ ทิ้งร่างสูงโปร่งทรุดลงนั่งเฝ้าดูพวกมันเดินหายลับไปทีละกลุ่ม ที่เหลืออยู่ตรงหน้าก็เป็นเพียงลูกแพะกับแม่แพะสี่ห้าตัว เขาล้วงโทรศัพท์มือถือจากย่ามสะพาย หวังแจ้งเจตจำนงให้เจ้าของฝูงแพะพาคนมาช่วยต้อนพวกมันรวมฝูง

เมื่อกดปุ่มโทร.ออกจึงพบว่าตัวเองนั้นอยู่ในที่อับสัญญาณโทรศัพท์ เขาย้ำปุ่มโทร.ออกหมายเลขเดิมอีกหลายครั้งด้วยความหงุดหงิด

เขาเดินย้อนกลับไปยังหมู่บ้าน บ้านทุกหลังปิดประตูเงียบ แรงระเบิดไม่ได้ทำให้ชาวบ้านแตกตื่น แต่กลับทำให้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเงียบงันลง เขาตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือหลายครั้ง ไม่มีใครรับปาก เขาสาวเท้าต่อไปพลางก็หยุดร้องเรียกขอความช่วยเหลือที่หน้าบ้านทุกหลังที่เดินผ่าน กระทั่งเขาพาร่างสูงโปร่งมาหยุดที่บริเวณหน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังหนึ่งที่มีลักษณะยังก่อสร้างไม่เสร็จ

ชายชราคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมองดูเขา พินิจพิจารณาเขาเพียงครู่แล้วจึงกวักมือพลางตะโกนเรียกให้เขาเข้าไปหลบในบ้านหลังนั้น

เขาเดินเข้าไปหาชายชราอย่างงุนงงคล้ายถูกสะกด เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมชายชราจึงแสดงพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ อย่างนั้น

“แพะผมตกใจเสียงระเบิด หนีเข้าป่าหมดเลย ผมต้องการคนไปช่วยต้อนแพะ” เขาเอ่ยขอความช่วยเหลือ

“เข้ามาหลบในนี้ก่อน…ใครจะกล้าออกไปช่วยตามแพะในเวลานี้” ชายชราสั่นศีรษะ

เขาก้าวตามชายชราเข้าไปด้านใน ห้องโล่งมีกลิ่นอับชื้น ผนังอิฐเพิ่งก่อใหม่ยังไม่ได้ฉาบปูน และยังไม่ได้ติดตั้งบานหน้าต่าง มีเพียงผืนผ้าสีขาวขึงปิดช่องหน้าต่างไว้เท่านั้น

ชายชราลงนั่งกลางห้อง เหลือบใช้สายตาเชื้อเชิญเขาให้ลงนั่งด้วยกัน

“ทำไมต้องหลบด้วย” เขาลงนั่ง พร้อมกับที่ชายชรากำลังรินน้ำชาใส่ถ้วย

“อีกสักเดี๋ยวพวกเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้าปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านเพื่อหาผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน”

เขาขมวดคิ้ว “ทำไมต้องสงสัย ทำไมต้องตรวจค้นหมู่บ้านนี้”

“ก็เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดน่ะซี” อีกฝ่ายตอบกลับทันใด

“ก็ไม่เห็นจะต้องหลบซ่อนขนาดนี้”

ทั้งสองนิ่งเงียบ ชายชรายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ขณะเด็กชายหันสังเกตไปรอบๆ

หน่วยพิสูจน์หลักฐานเข้าพื้นที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว พบร่องรอยลากสายไฟเข้าไปในป่าเชิงเขาซึ่งบ่งบอกว่าผู้ก่อเหตุใช้วิธีจุดชนวนระเบิดโดยการกดสวิตช์ ใกล้กันนั้นมีเสื้อเก่าตัวหนึ่งแขวนไว้กับกิ่งไม้เป็นสัญลักษณ์ระบุตำแหน่งสังหาร ทหารชุดหนึ่งจึงเข้าตรวจพื้นที่ริมเชิงเขาเพื่อค้นหาและติดตามผู้ก่อเหตุ วัตถุพยานทุกชิ้นและร่างไร้ลมหายใจถูกถ่ายภาพ หลักฐานทุกอย่างได้รับการตรวจเก็บและดูแลเป็นอย่างดี ขณะเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอีกจำนวนหนึ่งก็รุดเข้าปิดล้อมหมู่บ้านไว้

“ก่อนหน้านี้สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัด…” ชายชราเริ่มต้นสนทนาอีกครั้ง

“ใช่ ผมโทร.หาเจ้าของฝูงแพะไม่ได้เลย”

“…พวกเราส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้ก็นึกรู้แล้วว่าจะเกิดเหตุร้าย คนร้ายคงวางแผนอย่างดี พวกนั้นบังคับให้หน่วยทหารต้องสื่อสารผ่านวิทยุ ซึ่งจะถูกดักฟังได้ง่ายกว่า”

“ทำไมลุงถึงรู้”

“ก็รู้ พวกเรามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหมู่บ้านอื่นๆ ก่อนเกิดเหตุ…มักจะมีสัญญาณอันตรายแบบนี้ทุกครั้ง”

เมื่อเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ที่เข้าปิดล้อมลั่นขึ้น ทั้งสองต่างเงียบเสียงลง

เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งประกาศขอความร่วมมือในการเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยด้วยน้ำเสียงหวานน่าฟัง คำประกาศนั้นชี้แจงเหตุผลโดยละเอียด ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มเดินออกจากบ้านเพื่อแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ พร้อมยินยอมให้เข้าตรวจค้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

ชายชราเดินนำเด็กชายออกมายืนรอเจ้าหน้าที่อยู่หน้าประตูบ้านในทีสงบ เฝ้าดูผู้คนแปลกหน้าเดินเข้าบ้านโน้น ออกบ้านนี้ ผ่านไปบ้านนั้น

พวกทหารใส่ชุดลายพรางและถือปืนเดินไปมาเกลื่อนบริเวณหมู่บ้าน ทหารทุกนายสวมเสื้อเกราะกันกระสุน บางคนปิดหน้ามิดชิด พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เช่นกัน

พวกนักจิตวิทยายังคงยืนประกาศปาวๆ ไม่หยุด ฝ่ายนักปกครองทั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านคอยเป็นล่ามเจรจาเบิกทางให้ชุดตรวจค้นเข้าพื้นที่เป้าหมาย

แล้วเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งก็แวะเข้ามาทักทายชายชราและเด็กชาย เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งเริ่มต้นสัมภาษณ์ชายชราด้วยคำถามง่ายๆ ก่อน เป็นต้นว่า ถามชื่อ ถามอายุ ถามอาชีพ การพูดคุยช่วยให้ทั้งสองฝ่ายผ่อนคลาย จากสีหน้าบึ้งตึงก็เริ่มอวดรอยยิ้มให้กันและกัน กระทั่งในที่สุดน้ำเสียงของฝ่ายสัมภาษณ์ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้นตามลำดับ

“แถวนี้มีร้านขายข้าวยำบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไม่มี หมู่บ้านนี้ไม่มี” ชายชราสั่นศีรษะ

เด็กชายไม่เข้าใจคำสนทนาภาษาไทยที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างคล่องปาก เขาจึงเลือกที่จะหลบอยู่ด้านหลังชายชรานิ่งๆ

“อยู่กับหลานสองคนหรือครับ”

“ไม่ใช่หลานหรอก นี่เด็กเลี้ยงแพะ…กำลังจะมาขอให้ชาวบ้านไปช่วยต้อนแพะ แพะตกใจเสียงระเบิดหนีไปจนหมด แต่หมู่บ้านก็ถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมไว้เสียก่อน” ชายชราอธิบายยืดยาว พลางขยับหลบให้เด็กชายก้าวมายืนเคียงกัน

เจ้าหน้าที่ทหารหันกลับไปปรึกษากันบางอย่าง ขณะนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งพรวดฝ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ออกไปทางหลังหมู่บ้าน เหล่าเจ้าหน้าที่แตกตื่น จึงพากันวิ่งกรูตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป

ชายชราสั่นศีรษะคล้ายเหนื่อยหน่าย ตบบ่าเด็กชายทีหนึ่ง “โน่น…ไอ้หนุ่มคนนั้นหนีไปก่อนแล้ว ทหารยังไม่ทันจะเข้าไปตรวจค้นเลย”

“ทำไมต้องหนีด้วย ผมไม่เข้าใจ”

“อย่างที่บอก ชาวบ้านไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเด็กหนุ่ม”

“ถ้าไม่มีความผิด จะหนีทำไมล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

“ผิด…แต่ผิดข้อหาอื่น เด็กหนุ่มคนนั้นเสพยา และมีอาวุธปืนครอบครอง เป็นเรื่องปกติที่ทุกหมู่บ้านมีเรื่องแบบนี้ มียาเสพติด มีอาวุธปืน มีพวกนักเลงหัวไม้ จี้ ปล้น แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบ”

“ถ้าถูกจับแล้วจะเป็นยังไง”

“ไม่รู้ อาจโดนตรวจสารเสพติด ตรวจเก็บดีเอ็นเอเพื่อทำฐานข้อมูลผู้ต้องสงสัย ถูกเชิญไปพูดคุยในค่ายทหาร ตั้งข้อหา…ข้อหาอะไรบ้าง อันนี้ไม่รู้ คนหนุ่มกลัวว่าตัวเองจะถูกจับ หญิงสาวก็กลัวพ่อจะถูกจับ คนเป็นเมียกลัวผัวจะถูกจับ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็กลัวว่าลูกจะถูกจับ ไม่มีใครเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเลย”

“แล้วคนแก่กลัวไหม”

“กลัว…”

“กลัวอะไร”

“กลัวถูกจับข้อหาให้ที่หลบซ่อนเด็กเลี้ยงแพะ” ชายชราระเบิดหัวร่อลั่น

เด็กชายจ้องมองแววตาอันสงบของชายชรา ขณะที่ชายชราระเบิดหัวร่ออันดังต่อเนื่องจนท้องคัดท้องแข็ง แววตานั้นไร้แววกังวล เหมือนไม่มีความกลัวหรือเกรงสิ่งใดหลบซ่อนอยู่ในแววตานั้นเลย

“ทหารถามอะไรบ้าง”

ชายชราพลันหยุดหัวเราะ “เขาถามหาร้านขายข้าวยำ”

“ถามทำไม ข้าวยำเกี่ยวอะไรกับระเบิด”

“เจ้าหน้าที่เหล่านั้นอาจพบห่อข้าวยำใกล้กับจุดเกิดเหตุ…” ชายชราเริ่มต้นเล่าด้วยใบหน้าเรียบขรึม “…เจ้าหน้าที่ต้องพยายามสืบทุกข้อมูลที่มีให้ละเอียด พวกที่ก่อความไม่สงบนั้นมักแยกกันทำงาน อีกคนทำภาชนะบรรจุระเบิด อีกคนทำสวิตช์จุดระเบิด อีกคนทำหน้าที่ประกอบระเบิด มีคนมาขุดหลุม มีคนมาลากสายไฟ มีคนคอยส่งสัญญาณให้จุดระเบิด และมีอีกคนมาคอยกดสวิตช์ แยกทำงานกันเป็นส่วนๆ พวกนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่มีใครรู้จักกัน เจ้าหน้าที่ก็ตามจับตามสืบยาก ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพัฒนาวิธีการและวางแผนทำลายเจ้าหน้าที่รัฐรัดกุมยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐก็ยิ่งเก่งและเชี่ยวชาญขึ้นตามลำดับ ราวกับเงาที่ติดตามเจ้าของ บางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐเดินนำหน้าพวกนั้นหลายก้าว” ชายชราหยุดนิ่งวางท่าครุ่นคิด ก่อนปราศรัยต่อไป “ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน เสื้อผ้า เครื่องนอนต่างๆ เทปพันสายไฟที่ใช้ประกอบระเบิด เหล่านี้ตรวจดีเอ็นเอเก็บเป็นหลักฐานได้ทั้งหมด อย่างห่อข้าวยำนั่น…ถ้าเจ้าหน้าที่หาร้านที่ขายข้าวยำพบ ก็สามารถสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของร้านข้าวยำจะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน”

“แล้วส่วนใหญ่…เจ้าหน้าที่ได้รับความร่วมมือไหม”

“ไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือหรอก”

“ทำไมล่ะ” เด็กชายลอยหน้าลอยตาถามด้วยหางเสียงห้วนเป็นปกติ

“ไม่ค่อยมีใครไว้ใจเจ้าหน้าที่หรอก และไม่มีใครอยากยุ่งกับเรื่องแบบนี้ อย่างเหตุระเบิดตรงหัวโค้งริมเชิงเขา เจ้าหน้าที่ก็ต้องคิดว่า ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้หมู่บ้านขนาดนี้ เกิดระเบิดกลางวันแสกๆ แบบนี้ จะต้องมีชาวบ้านในหมู่บ้านนี้สักคนที่มีส่วนรู้เห็น หรือไม่ก็ต้องมีใครพบเห็นคนร้ายบ้าง”

ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มเดิมวิ่งย้อนกลับมา ทุกคนต่างเหนื่อยหอบ สักพักก็มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มคุมตัวเด็กหนุ่มคนนั้นเดินผ่ากลางหมู่บ้านไป ชายชราจ้องมองอย่างใคร่รู้

“แค่ใบกระท่อมครับ ไม่มีอะไร เขาไม่น่าจะรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องระเบิดครั้งนี้” เจ้าหน้าที่คนเดิมเริ่มต้น แล้วหยุดสูดหายใจลึกเข้าปอด “แต่เด็กเลี้ยงแพะของบังน่าจะรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องระเบิดนี้บ้าง”

เด็กชายหลบไปยืนอยู่ด้านหลังชายชรา เมื่อเห็นว่าผู้พูดพยักพเยิดหน้ามาทางเขา

“ยังไง ช่วยบอกหน่อย” ชายชราแผ่วเสียงลง

“ตอนที่พวกเราตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ…” อีกฝ่ายตอบในทีแย้มยิ้มเป็นกันเอง “…บางคนในกลุ่มเจ้าหน้าที่เห็นแพะสองสามตัวเดินผ่านไปทางบริเวณพื้นที่เกิดระเบิด และบริเวณนั้นก็มีขี้แพะกระจายอยู่ทั่ว พวกเราคาดเดาว่า ก่อนเกิดระเบิด เด็กเลี้ยงแพะของบังจะต้องเดินผ่านมาทางนั้นแน่นอน…แค่ขอความร่วมมือ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ที่น่ากลัวคือพวกนั้น ทั้งวางระเบิดและเข้ามาจ่อยิงซ้ำจนเจ้าหน้าที่ทหารตายเกลื่อน นี่ขนาดระเบิดที่ฝังอยู่ริมถนนอีกจุดไม่ทำงานยังเสียหายขนาดนี้ พวกนั้นน่าจะรีบ เลยต่อสายไฟไม่เรียบร้อย”

เด็กชายเงยหน้าสบตาชายชรา

ชายชรารีบแปลความหมายที่คู่สนทนาเอื้อนเอ่ยให้เด็กชายฟังอย่างรวบรัด

เด็กชายโล่งอกที่รู้ว่าแพะบางส่วนเดินมุ่งหน้ากลับไปยังคอกที่พวกมันจากมา แต่กระนั้นก็มีแพะอีกจำนวนมากที่แตกฝูงวิ่งหนีเข้าไปในป่าเชิงเขา เขาบอกตัวเองอยู่ภายในว่า…เขาเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแพะ เขาต้องต้อนแพะกลับไปคืนเจ้าของให้ครบ ไม่มีความจำเป็นใดเลยที่เขาจะต้องเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้

“เปล่า…ผมไม่ได้ต้อนฝูงแพะเดินผ่านทางนั้น ผมมาอีกทาง” เด็กชายส่ายหน้าปฏิเสธ “ขี้แพะกับแพะที่ผ่านไปทางนั้นเป็นของใคร…ผมไม่รู้”

ทหารนายหนึ่งรีบทำหน้าที่ล่ามอย่างไม่บกพร่อง แปลความหมายจากคำพูดของเด็กชายให้เจ้าหน้าที่ทุกคนฟังอย่างรวดเร็ว และย้ำใจความให้ทุกคนเข้าใจ

เหล่าเจ้าหน้าที่ที่รอคอยคำตอบอย่างมีความหวัง เป็นอันต้องสิ้นหวังอย่างไม่เหลือแสงริบหรี่ใดนำทาง การตรวจค้นยังไม่พบเบาะแสเพื่อคลี่คลายคดี อีกทั้งไม่มีข่าวคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ชุดติดตามที่ย่ำเท้าขึ้นเขาตามล่ามือกดสวิตช์จุดชนวนระเบิดเลย

เจ้าหน้าที่ทหารสองนายขออนุญาตชายชราเข้าตรวจค้นในบ้าน โดยให้ชายชรานำเข้าไป

เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่คาดคั้น เด็กชายมีท่าทีผ่อนคลายลง เขาเดินไปชะเง้อดูที่ด้านหน้าถนน พบเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มเล็กตั้งจุดตรวจเข้าออกหมู่บ้าน ไกลออกไปมีเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนเดินลัดเลาะคุมเชิงไม่ให้ผู้ใดเล็ดลอดผ่านออกจากหมู่บ้านไปโดยง่าย เขาชะเง้อมองไปริมเชิงเขา แดดบ่ายร้อนระอุ ควรจะเป็นเวลาที่ฝูงแพะเล็มหญ้าจนท้องกางและชักขบวนกลับเข้าคอกแล้ว แต่เขายังไม่เห็นฝูงแพะสักตัวเดินกลับออกมาจากชายป่าตรงเชิงเขาเลย

เด็กชายย้อนกลับมาหาชายชรา ขณะนั้นเจ้าหน้าที่เลิกตรวจค้นบ้านของชายชราแล้ว

ชุดตรวจค้นทยอยค้นบ้านหลังอื่นๆ ทุกหลัง ชายชราเฝ้ามองการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่ละสายตา ขณะที่เด็กชายก็เฝ้ามองการตรวจค้นนั้นอย่างอึดอัด ภายในพื้นที่ปิดล้อมนั้นถูกจำกัด ถูกกักกันลิดรอนอิสระไม่มีเหลือ ปีกเสรีใดก็ไม่อาจหลบหนีไปได้

หลังตรวจค้นเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จิตวิทยากล่าวคำขอบคุณที่ชาวบ้านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่มีการกระทบกระทั่งใดเกิดขึ้น จากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ก็ทยอยกลับขึ้นรถจีเอ็มซีที่จอดรออยู่ทางเข้าหมู่บ้าน

จุดตรวจบริเวณด้านหน้าหมู่บ้านสลายไปตอนใกล้เย็นย่ำ และกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนที่สวมชุดลายพรางและคลุมหน้ามิดชิดจากไปเป็นชุดสุดท้าย

เด็กชายคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเจ้าของฝูงแพะอีกครั้ง เพียงครู่ก็วางสาย เพราะทั่วบริเวณยังไร้สัญญาณโทรศัพท์เช่นเดิม

“ดีที่พวกเจ้าหน้าที่ไม่เห็นโทรศัพท์เครื่องนี้ คนร้ายนิยมใช้โทรศัพท์รุ่นนี้จุดชนวนระเบิด” ชายชราหวังขู่ให้เด็กชายตกใจ แล้วเอ่ยต่อไปด้วยใบหน้านิ่ง และแววตาสงบฉายชัดขึ้น “ไม่ได้ต้อนฝูงแพะผ่านมาทางนั้นจริงๆ หรือ”

ชายชรารู้อยู่แก่ใจว่าเด็กชายต้อนฝูงแพะมาจากหมู่บ้านทางทิศใต้ซึ่งผ่านจุดเกิดเหตุทุกวันในเวลาเดิมๆ แต่กระนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และแกล้งย้ำถามเด็กชาย

“ไม่ได้ผ่านมาทางนั้น ผมมาอีกทาง” เด็กชายชี้ไปที่ถนนที่ทอดทางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดเกิดเหตุ “ลุงหาคนไปช่วยผมต้อนแพะได้ไหม”

ชายชราบอกให้เด็กเลี้ยงแพะยืนรอในระหว่างที่ตระเวนสอบถามชาวบ้าน ไม่มีผู้ใดพร้อมให้ความช่วยเหลือเลยสักคน พวกผู้หญิงเบนหน้าหนี พวกผู้ชายส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วชายชราก็เดินคอตกย้อนกลับมา

“ไม่มีใครไปช่วยต้อนแพะในเวลานี้หรอก มันใกล้ค่ำแล้ว” ชายชราตอบ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้านโดยไม่สนใจเด็กชายอีก

“แล้วลุงไปช่วยผมได้ไหม”

“ไปไม่ได้ มันใกล้จะมืดแล้ว” ชายชราตะโกนตอบ เสียงนั้นกังวาน

“ลุงกลัวความมืด หรือลุงกลัวอะไร นอกจากกลัวเจ้าหน้าที่แล้ว ลุงกลัวใครอีก…” เด็กเลี้ยงแพะตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

ชายชราชะโงกหน้าออกมาตรงช่องหน้าต่าง “ชาวบ้านที่นี่ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคนนอก…คนแปลกหน้า”

เด็กชายออกจากหมู่บ้านในตอนที่แสงสลัวเลือน ความมืดคลี่ปกคลุมมาช้าๆ เขาคว้ากิ่งไม้ข้างทางเดินฝ่าทุ่งหญ้าเข้าไปตรงริมป่าเชิงเขา ทำเสียงร้องแมะๆ เลียนแบบแพะ เพียงครู่ฝูงแพะก็ทยอยเดินเป็นกลุ่มเล็กๆ ตามกันออกมาอย่างง่ายดายเกินคาดคิด แพะรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ได้ในไม่ช้า

เขาไม่รู้ว่าแพะรวมฝูงครบแล้วหรือไม่ แต่ฟ้าสลัวนั้นเร่งเร้าให้เขารีบต้อนฝูงแพะกลับขึ้นสู่ท้องถนน แพะตัวผู้ร่างยักษ์ตัวหนึ่งเดินนำฝูงแพะมุ่งหน้ากลับไปยังทางที่พวกมันจากมาเมื่อยามเช้าที่น้ำค้างยังไม่ระเหยหาย ฝูงแพะเดินผ่านหมู่บ้าน ผ่านไปถึงจุดระเบิด กลิ่นคาวเลือดโชยทั่วบริเวณ เด็กชายไม่รู้ว่ามีทหารต้องสังเวยชีวิตไปกี่ศพ ไม่รู้ว่ามีผู้วางแผนก่อความไม่สงบครั้งนี้กี่คน

กระนั้นก็โศกสลดใจ เหตุการณ์เมื่อเช้านั้นพลันปรากฏในห้วงคำนึง…

ตอนที่แพะจำนวนหนึ่งแวะลงไปเล็มหญ้าริมถนน เขาเดินสะดุดสายไฟเส้นหนึ่งที่ลากเข้าไปในแนวป่าข้างทางขณะลงไปต้อนฝูงแพะให้กลับรวมฝูง จังหวะนั้นเขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในแนวป่าทึบ ชายชุดดำคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นยืน มีผ้าคลุมหน้า เผยแต่แววตาที่แข็งกร้าว ต่างคนต่างจ้องตากัน ก่อนที่แววตาของชายลึกลับผู้นั้นจะพลันเปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นอย่างไม่รู้เหตุ เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์อาจไม่สู้ดีนัก เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้…เดินต้อนฝูงแพะมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางโดยเร็ว

เด็กชายขยี้ปลายจมูก กลิ่นคาวเลือดโชยมาอีกหน ม่านฟ้าปิดลงเกือบมืดสนิท เขารีบสาวเท้าเดินต้อนฝูงแพะผ่านจุดเกิดเหตุไป พลางก็นึกถึงแววตาของชายชราผู้นั้น