ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | มิตรสหายเล่มหนึ่ง |
เผยแพร่ |
มิตรสหายเล่มหนึ่ง
นิ้วกลม
เราฉลาดกว่าต้นไม้จริงหรือ
ในตอนที่แล้วเราคุยกันถึงเรื่องปัญญาของสัตว์อย่างวาฬซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของเพื่อนร่วมโลกสายพันธุ์อื่นที่อาจชาญฉลาดกว่าที่เราเคยเข้าใจ
ดูเหมือนยังมีพื้นที่ให้มนุษย์เรียนรู้ถึงความมหัศจรรย์ของสิงสาราสัตว์อีกมากมายไม่รู้จบ
ยิ่งรู้อาจยิ่งตระหนักว่ามนุษย์มิใช่สิ่งมีชีวิตที่ ‘ฉลาด’ กว่าเพื่อนร่วมโลกอย่างที่ชอบพร่ำสอนกันในหมู่มนุษย์-เพียงแค่เราฉลาดต่างกัน
อหังการ์และอัตตาที่ลดลงอาจตามมาซึ่งการสำคัญตัวผิดที่จางลง มองเห็นและให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น ทะนุถนอมโลกใบนี้ไว้สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นมากกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งจะว่าไปก็คือรักษาโลกใบนี้ไว้เป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองด้วย
เพราะทุกชีวิตในโลกล้วนมีบ้านหลังเดียวกัน
การตระหนักถึงคุณค่าของบรรดาสรรพสัตว์ส่งผลให้ทัศนคติที่มีต่อสัตว์เปลี่ยนแปลงไป
เรายอมรับอารมณ์ของเพื่อนต่างสปีชีส์มากขึ้น นำมาซึ่งกฎหมายคุ้มครองดูแลรวมถึงให้สิทธิเสรีภาพแก่เพื่อนเหล่านี้มากขึ้นด้วย
ปี ค.ศ.1990 ในเยอรมนีออกกฎหมายเพื่อยกระดับสิทธิเสรีภาพของสัตว์เพื่อไม่ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อสัตว์ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอีกต่อไป
อย่างที่เราทราบกันว่าคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จำกัดปริมาณหรือเลิกกินเนื้อสัตว์ หรือเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงอย่างทารุณ (ซึ่งอย่างที่เคยกล่าวไปว่า ศีลธรรมเรื่องการกินก็ขึ้นกับว่าใครคนนั้นใช้ไม้บรรทัดใดวัด)
เหล่านี้ล้วนเป็นแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่าทัศนคติที่มนุษย์มีต่อสัตว์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรามีความรู้เพิ่มมากขึ้น เราได้ทราบว่าสัตว์มีความรู้สึกคล้ายคลึงเราในหลายด้าน
ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแมลงต่างๆ ด้วย ดังเช่นที่นักทดลองในแคลิฟอร์เนียพบว่าแม้แต่แมลงวันผลไม้ตัวจิ๋วก็ยังมีความฝัน!
ความรู้เหล่านี้ทำให้มุมมองและความรู้สึกที่มีต่อสัตว์ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
กระนั้นก็มีคนตั้งคำถามว่า แล้วเมื่อไหร่จะถึงคราวของ ‘ต้นไม้’ บ้าง
เพราะพืชไม่มีสมอง จึงไม่แปลกที่มนุษย์มักลืมไปว่ามันมีชีวิต เราอาจเรียกมันว่า ‘สิ่งมีชีวิต’ แต่ความรู้สึกที่มีต่อต้นไม้นั้นต่างจากสัตว์มาก เราตัดกิ่งก้านต้นไม้โดยไม่รู้สึกอะไร หากเทียบว่าตัดต้นไม้คือตัดขาม้าหรือขาหมูสดๆ คงใจสั่นกว่ามาก
เราโค่นต้นไม้ยักษ์ลงได้หน้าตาเฉย ต่างจากการเอาปืนยิงช้างให้ล้ม ในความรู้สึกของมนุษย์ ต้นไม้มีชีวิต ‘น้อยกว่า’ สัตว์ หรือมีความใกล้เคียงวัตถุสิ่งของมากกว่า
จึงไม่แปลกที่เราจะทำลายพื้นที่ป่าจนราบเป็นหน้ากลอง
แต่มาจนถึงวันนี้ มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับต้นไม้มากมายที่พยายามแสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ของ ‘ชีวิต’ ที่ปรากฏให้เห็นในระหว่างที่ต้นไม้หายใจอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกับเรา
ต้นไม้มีข่ายใยสังคม ต้นไม้ดูแลช่วยเหลือกัน ต้นไม้เป็นมิตรกัน ต้นไม้สนทนากัน ต้นไม้เจ็บปวด ต้นไม้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้เพื่อนรู้ ฯลฯ อีกมากมาย
พวกเขาเพียงมีชีวิตอีกแบบที่เรามองไม่เห็น และไม่เคยรับรู้เท่านั้น
ในหนังสือ The Hidden Life of Trees เพเทอร์ โวลเวเบน เขียนเล่าเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างเพลิดเพลินและเพริศแพร้วยิ่ง
เขาเล่าว่า ในป่าแห่งหนึ่งนั้น ต้นไม้แต่ละต้นที่เป็นสายพันธุ์เดียวกันและขึ้นในแนวเดียวกัน จะมีการแลกเปลี่ยนสารอาหารให้กันและกันทางระบบราก
ซึ่งการช่วยเหลือกันยามฉุกเฉินในหมู่เพื่อนบ้านเช่นนี้เป็นกฎเกณฑ์ของต้นไม้
ป่าจึงเป็นระบบข่ายใยที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างจากรังมด
แต่ละชีวิตช่วยกันทำงาน หาอาหาร ส่งต่อ เพื่อบำรุงเลี้ยงกันและกัน
เช่นนี้แล้วต้นไม้จึงมีสังคมของมัน ไม่ต่างจากสังคมมนุษย์เลย
การอยู่รวมกันย่อมได้เปรียบกว่า อยู่เดี่ยวๆ นั้นเสี่ยงต่อหลายสิ่ง
ไหนจะลมกระโชกแรง
ไหนจะสภาพอากาศเลวร้าย
ต้นไม้ที่อยู่รวมกันย่อมช่วยทอนแรงลมและสร้างระบบนิเวศขึ้นมา บรรเทาความร้อนจัดหรือหนาวจัดได้ เพราะช่วยกันเก็บกักน้ำไว้
นอกจากนั้น ต้นไม้ที่อยู่ใกล้กันยังช่วยรักษาเยียวยาเพื่อนที่ป่วยจนมีสภาพดีขึ้นได้ด้วย
สำหรับต้นที่เป็นมิตรกัน มันจะคอยระวังไม่แตกกิ่งก้านไปในทิศทางที่บดบังอีกฝ่าย
ดังที่เราได้เห็นเรือนยอดของต้นไม้บางชนิดในบางแห่งที่รักษาระยะทางสังคมกับเพื่อนของมัน ไม่ซ้อนทับแย่งแสงกัน
ต้นไม้ที่เป็นเพื่อนกันแบบนี้จะผูกพันกันเหนียวแน่นทางราก บางครั้งถึงกับตายไปด้วยกันเลยทีเดียว
ต้นไม้แต่ละต้นจึงมีคุณค่าสำหรับส่วนรวม หากมีต้นหนึ่งถูกตัดลงย่อมกระทบต่อชีวิตของต้นที่เหลือ
ไม่เพียงเท่านั้น, ต้นไม้สามารถพูดได้ด้วย!
เพียงแค่วิธีพูดอาจไม่ได้ใช้ ‘ภาษา’ แบบเดียวกับมนุษย์
มันสื่อสารกันด้วยสารบางอย่างที่ปล่อยออกมา
อย่างต้นอะคาเซียที่โดนกัดกินจะปล่อยสารเตือนภัย (สารเอธิลีน) เพื่อส่งสัญญาณไปยังเพื่อนร่วมสายพันธุ์ในบริเวณรอบๆ ว่ากำลังมีภัยมา
แล้วเพื่อนต้นไม้ที่ได้รับการเตือนก็จะปล่อยสารพิษออกมาเพื่อเตรียมพร้อม
เจ้ายีราฟที่มากินใบอยู่ก็จะไม่กินต้นที่ปล่อยสารพิษออกมา ต้องเดินสวนไปเหนือลมเพื่อกินต้นที่ยังไม่ได้รับสัญญาณเตือนนี้
แต่บางทีต้นไม้ก็ไม่วางใจที่จะใช้การเตือนภัยทางอากาศอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเพื่อนๆ ทั้งหลายอาจพลาดสัญญาณที่ต้องพึ่งพาลม พวกมันจึงส่งข่าวสารกันผ่านทางรากด้วย โดยกระจายตัวเป็นประจุไฟฟ้า
เมื่อต้นไม้อ่อนแอ มิใช่เพียงภูมิต้านทานของมันลดลง แต่ประสิทธิภาพในการสื่อสารพูดคุยก็อาจลดลงด้วย เหตุนี้เองแมลงทั้งหลายจึงสบโอกาสจู่โจมในเวลาที่ต้นไม้สนทนากับเพื่อนน้อยลง รับรู้ข่าวสารไม่ทันการณ์
โวลเวเบนจึงอธิบายว่า ต้นไม้ที่เรานำมาเลี้ยงและขายพันธุ์ส่วนใหญ่จึงสูญเสียความสามารถในการสื่อสารทั้งบนดินและใต้ดิน พวกมันมีชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนเป็นใบ้หูหนวก จึงกลายเป็นเหยื่อโง่ๆ ให้แมลงมากัดกินได้ง่าย และนี่คือเหตุผลที่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงปริมาณมหาศาลในการทำเกษตร
นอกจากนั้น ยังเป็นไปได้ด้วยว่า ต้นไม้สามารถ ‘ได้ยินเสียง’
ในห้องปฏิบัติการของ ดร.โมนิกา กากลิอาโน แห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย และเพื่อนร่วมงานจากบริสทอลและฟลอเรนซ์ ได้พยายามฟังเสียงพื้นดิน โดยทำการศึกษาต้นอ่อนของเมล็ดธัญพืช พวกเขาวัดเสียงแตกตัวเบาๆ ของรากต้นอ่อนได้ที่ 220 เฮิร์ตซ์ ทุกครั้งที่มีเสียงแตกตัวของราก ยอดของต้นอ่อนจะเคลื่อนไหวไปทางทิศนั้น
หมายความว่าต้นอ่อนเหล่านี้สามารถรับรู้ความถี่นี้ได้ เป็นไปได้ว่ามันสื่อสารกันทางคลื่นเสียงเหมือนที่มนุษย์สื่อสารกัน
คราวนี้มาถึงเรื่องการรับรส
ต้นไม้สามารถแยกประเภทของน้ำลายแมลงได้แม่นยำถึงขนาดที่ปล่อยสารดึงดูดสัตว์อื่นมาช่วยเล่นงานเจ้าตัวก่อกวนเหล่านี้ได้ และช่วยให้มันรอดพ้นอันตราย
เช่น ต้นเอล์มและสนไพน์จะร้องเรียกความช่วยเหลือจากตัวต่อขนาดเล็กให้มาวางไข่ในตัวหนอนผีเสื้อที่กินใบไม้
พอหนอนพวกนี้โตขึ้นก็จะถูกตัวต่อเด็กๆ กัดกินจากภายในจนเดี้ยง ไม่สามารถกัดกินใบไม้ได้ ต้นไม้เหล่านั้นจึงพ้นภัย
การส่งสัญญาณด้วยการปล่อยสารที่ดึงดูดสัตว์อื่นมาจัดการตัวก่อกวนนับเป็นความชาญฉลาดของต้นไม้ที่น่าทึ่ง
แต่ที่น่าทึ่งไม่แพ้กันคือ มันมีความสามารถในการแยกแยะรสชาติน้ำลายของแมลงต่างๆ อย่างแม่นยำ
นั่นหมายความว่าต้นไม้สามารถรับรู้รสได้ด้วย!
เมื่อรับรู้ความฉลาดของต้นไม้มากขึ้น ย้อนกลับมามองตัวเอง เราย่อมได้ทบทวนว่าในบางสถานการณ์เราอาจไม่สามารถแก้ปัญหา ช่วยเหลือกัน หรือละเอียดอ่อนต่อผัสสะได้เท่ากับต้นไม้ด้วยซ้ำ
เราไม่ได้ฉลาดกว่าต้นไม้ เราแค่ฉลาดคนละแบบ
ความรู้ที่มีมากขึ้นทำให้เราใส่ใจและทะนุถนอมเพื่อนร่วมโลกอย่างต้นไม้มากกว่าเดิม
เริ่มมีข้อเสนอใหม่ๆ เช่น การใช้ไม้ก็ควรใช้เฉพาะต้นที่มันได้ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมในธรรมชาติแล้ว ควรมีต้นไม้บางส่วนที่จะได้แก่ชรา ส่งต่อความรู้ของมันกับลูก-หลาน และเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติเพื่อนิเวศที่ดีของบรรยากาศโดยรวม
หรือต้นไม้บางชนิดที่มีขนาดใหญ่ไม่ควรถูกตัดโค่นลงอีกแล้ว หรือจะไม่มีการใช้เครื่องจักรหนักในการตัดต้นไม้อีก
รัฐธรรมนูญสวิตเซอร์แลนด์กำหนดว่า “ในการปฏิบัติต่อสัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆจะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ”
เช่น ไม่อนุญาตให้เด็ดดอกไม้ข้างทางโดยไม่มีเหตุอันควร
เป็นเรื่องน่าสนใจว่า หากเราใช้ความฉลาดของมนุษย์ในการเรียนรู้เพื่อเข้าใจว่าเพื่อนร่วมโลกสายพันธุ์อื่นฉลาดต่างจากเราอย่างไร เมื่อรู้แล้วอาจทำให้รักและเคารพในชีวิตของพวกเขามากขึ้น และหาวิธีอยู่ร่วมกันโดยไม่เอาเปรียบ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและมองทุกสิ่งเป็น ‘ทรัพยากร’ หรือ ‘วัตถุดิบ’ ที่นำมากินมาใช้อย่างไรก็ได้ ความรู้สึกของการเหยียบย่างไปบนโลกจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด
และนั่นอาจเป็นความฉลาดที่แท้จริง