ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ก่อสร้างและที่ดิน |
เผยแพร่ |
ก่อสร้างที่ดิน/นาย ต.
เดิมพันกับวัคซีน 100 ล้านโดส
ถึงวันนี้ต้องยอมรับกันแล้วละว่า ชีวิตปากท้อง การทำธุรกิจของคนไทยทั้งประเทศถูกแขวนไว้กับการควบคุมโรคการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 แล้วอย่างไม่มีทางเลี่ยง
มาตรการรับมือของรัฐบาลจากที่ผ่านมา ทำได้แค่ทำให้การระบาดทรงตัว
ระลอกแรกจาก “สนามมวย” คนติดเชื้อใหม่ต่อวันขึ้นไปหลักร้อยแล้วมาทรงๆ อยู่ที่หลักสิบ
ระลอกสอง “ตลาดกลางกุ้ง” ขึ้นไปหลายร้อยแล้วมาทรงๆ อยู่หลักร้อย
และล่าสุดระลอกสาม “ทองหล่อ” มาทรงๆ อยู่ที่หลัก 2 พันราย วันไหนเจอคลัสเตอร์ใหญ่ก็พุ่งขึ้นไปอีกหลายพันราย
วงแพร่ระบาดที่ผ่านมาเกิดกับกลุ่มแรงงานพม่า กลุ่มไฮโซ แต่เวลานี้มาเกิดกับกลุ่มคนในชุมชนแออัด กลุ่มคนในตลาด เรือนจำ และเริ่มมีตามสำนักงานซึ่งเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่สุดของสังคมแล้ว มาตรการที่ใช้ๆ กันมา ยังไม่เห็นแนวโน้มที่จะทำให้อัตราแพร่เชื้อต่ำกว่า 1 คนต่อ 1 คนลงได้
ฉะนั้น ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ก็คือวัคซีน
แต่รัฐบาลก็พลาดในนโยบายครั้งแรก โดยไปสั่งวัคซีนจาก Sinovac 2 ล้านโดส ส่งมอบมีนาคม-พฤษภาคม 2564 และสั่งล็อตใหญ่สุดจาก AstraZeneca 61 ล้านโดส ส่งมอบมิถุนายน-ธันวาคม 2564 ซึ่งขณะนี้ระลอก 3 ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นมา แพร่ระบาดไปทั่วประเทศไปที่คนกลุ่มใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาส่งมอบล็อตใหญ่
รัฐบาลมาปรับนโยบายใหม่สั่งวัคซีนจากหลายเจ้าหลายราคาเมื่อ 29 เมษายน 2564 และมีเป้าหมายจะฉีดให้ครบ 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 70% เพื่อให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้มาจากเจ้าเดิมอีก 2 ล้าน รวมเป็น 65 ล้านโดส ขาดอีก 35 ล้านโดส รัฐบาลให้เจรจาสั่งซื้อจากผู้ผลิตต่างๆ รายละ 5-10 ล้านโดส ได้แก่ Pfizer; Sputnik v; Sinovac; Johnson & Johnson; Moderna; Sinopharm
วางแผนการฉีดมีจุดบริการ 1,000 แห่ง ฉีดวันละ 500,000 โดสขึ้นไป จะใช้เวลา 4-7 เดือน ไปเสร็จสิ้นประมาณสิ้นปี
ถ้าเป็นไปตามแผนนี้ก็ใช้เวลาอีก 7 เดือนการควบคุมโรคนี้จึงสำเร็จ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าจะหาวัคซีน 35 ล้านโดสได้ครบไหม ได้ทันเวลาที่ต้องการไหม เพราะทุกวันนี้ทุกประเทศก็มีความต้องการ อำนาจต่อรองเป็นของผู้ผลิต
ต่อมาก็เป็นเรื่องการฉีดว่าวันละ 500,000 โดส ฉีดกันยังไง
3ความเป็นไปได้และผลได้ผลเสียที่จะตามมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินไว้แล้วว่า
(1) ถ้าฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดสในสิ้นปี 2564 คาดการณ์ว่า GDP ไทยปี 2564 จะอยู่ที่ 2% GDP ปี 2565 จะฟื้นตัวที่ 4.7%
(2) ถ้าฉีดได้ 64.6 ล้านโดส (ตามแผนแรก) GDP ไทยปี 2564 จะอยู่ที่ 1.5% GDP ปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8% เป็นความเสียหายราว 4.6 แสนล้านบาท
(3) ถ้าฉีดได้น้อยกว่ากรณีที่ 2 แล้วไปเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ปลายปี 2565 จะส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ 8.9 แสนล้านบาท
สรุปว่า ดีที่สุดคือภายในสิ้นปีนี้ฉีดครบ 100 ล้านโดส 70% ของประชากร เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่จากนี้ไปสิ้นปีอีก 7 เดือนก็ต้องสู้กับความผันผวนระลอกใหญ่และเล็กของการระบาดไปก่อน
ถ้าหลุดจากนี้ไปก็แย่ ปีหน้า 2565 เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น เสียหายหลายแสนล้านบาท