ทราย เจริญปุระ : ข้อความที่ฉันกดส่งไป

"ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่ง" (The Sense Of An Ending) เขียนโดย จูเลียน บาร์นส์ แปลโดย โตมร ศุขปรีชา ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง โดยไลต์เฮาส์ พับลิชชิ่ง พ.ศ.2560 *ข้อความจากในหนังสือ

ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่ง

บอกกล่าวเรื่องราวของสิ่งสมมติที่เรียกว่า “เวลา”

เวลาที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบอันจริงแท้ แต่มันก็สอนอะไรแก่เรามากมาย เราอาจต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างโชกโชนและเนิ่นนาน กว่าจะเข้าใจบทเรียนของกาลเวลา มีหลายครั้งหลายคราที่เราคิดว่าสามารถจัดการกับเวลาได้ แต่หารู้ไม่ว่าเวลาคือผู้บงการและเป็นผู้นิยามชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง”

เรามีชีวิตอยู่ในกาลเวลา มันเหนี่ยวรั้งและปั้นเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตของเราเริ่มขึ้นแล้ว ทันทีที่เข็มวินาทีกระดิกเป็นครั้งที่สี่พัน ตรงจุดนั้นคือสิ่งที่เราต้องจดจำ จำเพื่อจะรู้ว่าครั้งที่สี่พันนั้นจะส่งผลถึงวันที่เจ็ดแสนสามหมื่นสองพันของชีวิต เพราะวันนั้นจึงมีวันนี้

“ผมเชื่อมั่นว่าเราต่างเคยถูกทำลายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ยกเว้นในโลกที่มีพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนบ้าน และเพื่อนฝูงที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น จากนั้นยังมีคำถามซึ่งขึ้นกับแต่ละคนเป็นอย่างมากว่า เราตอบสนองต่อการทำลายนั้นอย่างไร เรายอมรับมันหรือกดเก็บมัน สิ่งนี้ส่งผลต่อการรับมือกับผู้อื่นอย่างไร บางคนยอมรับการทำลายนั้นและพยายามบรรเทามันลง บางคนใช้ชีวิตพยายามช่วยเหลือผู้อื่นที่ถูกทำลาย และมีผู้คนที่หมกมุ่นอยู่กับการหลีกเลี่ยงการถูกทำลายในอนาคตโดยยอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง

คนเหล่านั้นคือคนที่ไร้ความปรานี เป็นคนที่พึงระวัง”

 

ฉันไม่รู้เลยว่า ทันทีที่กดส่งข้อความนั้นออกไปแล้ว เส้นทางชีวิตจะหักเลี้ยวกะทันหัน ล้มคว่ำคะมำหงาย ไม่มีคู่มือเล่มใดบอกวิธีรับมือเรื่องแบบนี้ได้อย่างสง่างาม

มีแต่น้ำตาและไหล่ตกลู่ ถ้อยคำละล่ำละลักขอโทษในสิ่งที่ไม่อยากขอโทษ ความสำนึกผิดจอมปลอมพอให้พ้นผ่านชั่วขณะนั้นไปได้ และเมื่อเวลาเคลื่อนผ่าน ฉันก็เห็นโลกอีกแบบหนึ่ง

โลกที่ไม่มีเธอ

 

ท่ามกลางความเป็นไปได้เป็นหมื่นล้านหนทางในแต่ละช่วงเวลาที่เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า ทุกๆ การกระทำที่เธอทำสะสมในแต่ละชั่วโมง แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน

มันเหมือนเกิดขึ้นอย่างปุบปับก็จริง

แต่ฉันว่ามันเริ่มขึ้นนานแล้ว

เริ่มตั้งแต่วินาทีที่เราได้พบกัน

นาทีที่เปลี่ยนชีวิต ลบหนทางเป็นร้อยเป็นพันออกเหลือเพียงเส้นทางเดียว

เส้นทางของข้อความที่ฉันกดส่งไป

 

เธอถามว่าฉันทำไปทำไม คนที่ปลายสายนั้นเขาไม่รู้อะไรด้วย เขาไม่ผิด เขาไม่เกี่ยว

อย่างนั้นหรือ

เขาไม่ผิด เขาไม่เกี่ยว เขาไม่รู้

ถ้าอย่างนั้นคนที่รู้ ที่ผิด ที่เกี่ยวก็ลดลงมาจากสามคนเหลือเพียงฉันกับเธอสินะ

และในเมื่อขณะนี้เธอกำลังกล่าวโทษฉัน ก็คงหมายความว่าเธอเห็นว่าไม่ใช่ความผิดของเธออีก

เป็นความผิดของฉันเอง

ใช่ เป็นความผิดของฉันเองที่เธอทำถึงขนาดนั้น ฉันก็ยังทน

ใครจะรู้ เธออาจจะทำทุกทุกอย่าง แจกจ่ายความใคร่ที่อัดล้นอยู่ในตัวไปทั่วถ้วนเพื่อรอให้วินาทีนี้เกิดขึ้น ให้ฉันสติแตก ตัดสินใจโง่ๆ ส่งข้อความหาผู้หญิงอีกคน เพื่อเธอจะได้มีเหตุผลมากพอว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นทุเรศเกินเยียวยา

ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว

มันเหมือนอยู่ๆ เราทั้งสามก็ถือนาฬิกาคนละเรือน หลังจากที่ใช้นาฬิกาของเธอเป็นเรือนเดียวกันมาตลอด หมุนตาม เคลื่อนไหว และหยุดนิ่งตามจังหวะเวลาของเธอ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

เราถือนาฬิกากันคนละเรือน

เวลาของเธอยังคงเดินไปข้างหน้า

ส่วนของฉันกับผู้หญิงของเธออีกคน ตั้งเวลาถอยหลังสู้จุดระเบิดที่ไม่อาจกู้คืน

ได้แต่หาทางป้องกันไปเท่าที่ทำได้ แต่ความเสียหายนั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

จุดสิ้นสุดนั้นเป็นจุดเริ่มของบางสิ่งด้วยเสมอ

เราจบจากเรื่องหนึ่งเพื่อเริ่มอีกเรื่องหนึ่ง

มันอาจไม่หมดจดงดงาม

มันอาจเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เราก็ทำได้แค่ระแวดระวังที่จะไม่ปะทะมันอย่างจังอีก

 

เหมือนฉันจะหมกมุ่นกับเธอมากใช่ไหม

ฉันว่าไม่ใช่หรอก

เธอแค่เป็นเรื่องล่าสุด เป็นเหมือนภาพยนตร์ที่เพิ่งดู เป็นเหมือนข้าวมื้อที่แล้ว เป็นถนนที่ฉันเพิ่งผ่าน

คนเราไม่โกรธแค้นอาฆาตอะไรกับถนนสักสายหรือข้าวสักมื้อหรอก

แต่แค่จำว่าสภาพถนนมันเลว และข้าวก็รสชาติขมขื่นบูดเน่าเพียงใด

 

“…คุณวางเงินกับม้าตัวหนึ่ง มันชนะ แล้วคุณก็ชนะต่อกับม้าตัวถัดไปในการแข่งรอบถัดไปเรื่อยๆ การชนะของคุณสะสม แต่คุณเสียบ้างไหม ไม่ใช่ในการแข่งม้านั้นไม่ – คุณเสียเพียงเดิมพันแรก

แต่ในชีวิตเล่า

บางทีนี่อาจมีกฎที่แตกต่างออกไป

คุณเดิมพันกับความสัมพันธ์ มันล้มเหลว คุณเดินหน้ากับความสัมพันธ์ถัดไป มันล้มเหลวด้วย

บางทีสิ่งที่คุณสูญเสียอาจไม่ใช่แค่ผลรวมด้านลบของสองเรื่อง แต่คือผลคูณของเดิมพันของคุณ–ชีวิตไม่ใช่เพียงการบวกและลบ ยังมีการสะสม การคูณของการสูญเสีย ของความล้มเหลว”