Beauty Tech ขายสวยด้วยเทคโนโลยีล้ำ/Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

Beauty Tech

ขายสวยด้วยเทคโนโลยีล้ำ

 

เราอยู่ในยุคที่ธุรกิจออฟไลน์ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดด้วยการขยายช่องทางทำมาหากินเข้าไปในออนไลน์ด้วย

เพราะออนไลน์กลายเป็นที่แรกที่ลูกค้าเข้าไปค้นหาสินค้าและบริการ แต่ในขณะเดียวกันยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ที่แจ้งเกิดจากโลกออนไลน์ก็กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าไปสู่โลกออฟไลน์ด้วยการเปิดหน้าร้านตามสถานที่ต่างๆ

หนึ่งในความพยายามของ Amazon ในการเข้ายึดครองพื้นที่ของโลกออฟไลน์บ้างก็คือการเปิดร้าน Amazon Go ร้านสะดวกซื้อที่ลูกค้าสามารถล็อกอิน เดินเข้าไปหยิบของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกมาได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์เพราะระบบของ Amazon จะสามารถตรวจจับได้เองว่าเราหยิบอะไรใส่ถุงไปบ้าง และตัดยอดเงินจากเครดิตการ์ดของเราอัตโนมัติ

คอนเซ็ปต์ร้านแบบนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและเกิดขึ้นในจีนแล้วด้วยเหมือนกัน

ซึ่งในที่สุดก็น่าจะเป็นอนาคตของร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายให้พึ่งพาพนักงานที่เป็นมนุษย์น้อยลงกว่าเดิม

โดย Amazon ก็นำคอนเซ็ปต์นี้ไปใช้กับร้านหนังสือที่เปิดตัวไปใหม่ด้วยเหมือนกัน

 

ความพยายามในการรุกตลาดขายสินค้าและบริการแบบออฟไลน์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะ Amazon เพิ่งประกาศเปิดตัวร้านอีกประเภทในกรุงลอนดอน นั่นก็คือร้านเสริมสวย หรือร้านทำผม

และแน่นอนว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านทำผมของ Amazon ก็จะต้องไม่ใช่ร้านทำผมแบบทั่วไปแน่ๆ เพราะนี่เป็นการก้าวขาเข้าไปหยั่งเชิงตลาด beauty tech หรือเทคโนโลยีเพื่อความงาม

ร้านทำผมของ Amazon จะเปิดให้บริการในพื้นที่ขนาด 150 ตารางเมตร และถึงแม้ว่ากระจกจะเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ว่าจะเห็นในร้านทำผมทั่วไป

แต่กระจกที่จะอยู่ในร้านทำผมของ Amazon จะเป็นกระจกอัจฉริยะที่จะให้ลูกค้าได้เห็นล่วงหน้าว่าถ้าหากเลือกทำผมสีนี้ สไตล์นี้ หน้าตาแบบฟินิชลุคจะออกมาเป็นอย่างไรด้วยการใช้เทคโนโลยี Augmented Reality ในการซ้อนสีและทรงผมนั้นเข้าไปบนเงาของใบหน้าลูกค้าที่อยู่ในกระจก

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ฉันเชื่อว่าเราทุกคนเคยคิดกันมาหมดแล้วว่าการจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นการเปลี่ยนแปลงผมของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ชวนหวั่นใจอย่างยิ่ง ถ้าทำออกมาแล้ว “ไม่รอด” ก็อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ทำได้อย่างเดียวคือรอให้ผมยาวซึ่งก็อาจจะใช้เวลาอีกนานหลายเดือน

ดังนั้น ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าหากว่าเราจะมีไอเท่มอะไรสักอย่างคล้ายๆ กระจกวิเศษที่จะส่องให้เราเห็นโลกอนาคตอีกประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมงข้างหน้าว่าถ้าเราเลือกผมสีนี้

หรือตัดทรงนี้ หน้าตาเราจะออกมาเป็นแบบนี้นะ จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีเทคโนโลยีแบบนี้ใช้กันอยู่แล้ว เพราะการซ้อนภาพความจริงเสมือนผ่านเทคโนโลยี Augmented Reality ที่เราใช้กับกล้องสมาร์ตโฟนของเราก็ช่วยทำให้เราสามารถลองผลิตภัณฑ์ความงามหลายๆ อย่างได้แบบเสมือนจริง

อย่างเช่น แอพพลิเคชั่นแบรนด์เครื่องสำอางที่เพียงแค่เราเปิดกล้องหน้าและเลือกสีลิปสติกที่เราชอบ ลิปสีนั้นก็จะมาซ้อนอยู่บนริมฝีปากของเราราวกับเราได้ทามันลงไปแล้วจริงๆ

หรือแม้แต่การเปลี่ยนทรงผมต่างๆ ก็มีแอพพ์ให้เราเลือกใช้อยู่ไม่น้อย

 

การที่ Amazon นำกระจกที่มีเทคโนโลยีนี้มาติดตั้งไว้ในร้านจึงเป็นไอเดียที่ล้ำสมัยมาก เพราะเราจะได้นั่งดูแต่ละลุคไปพร้อมๆ กับช่างตัดผมที่สามารถให้ไอเดียหรือคำแนะนำให้เราปรับเปลี่ยนตรงนั้นตรงนี้ไปพร้อมๆ กันได้ ลูกค้าก็จะกล้าแหวกแนวและทดลองลุคใหม่ๆ มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะมาเสียใจน้ำตาตกในภายหลัง

Amazon บอกว่าร้านทำผมของบริษัทไม่เพียงแต่จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเท่านั้น แต่ก็จะใช้ผลิตภัณฑ์ผมและแต่งผมที่มีคุณภาพที่สุดด้วย

ลูกค้าแค่ต้องใช้สมาร์ตโฟนชี้ไปที่ผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้ภายในร้านที่ตัวเองอยากได้ก็จะได้รับข้อมูล อย่างเช่น ส่วนประกอบต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น

และเมื่อสแกน QR Code ก็จะสามารถกดซื้อของชิ้นนั้นๆ ได้จากร้านค้า Amazon บนออนไลน์ทันที

สำหรับคนที่ไม่ค่อยมั่นใจว่า Amazon ที่ยังนับว่าใหม่มากในอุตสาหกรรมการทำผมนี้จะมีฝีมือการทำผมที่เชื่อใจได้แค่ไหน บริษัทก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะบริษัทไม่ได้ทำเอง แต่เป็นการร่วมมือกับซาลอนระดับมืออาชีพในลอนดอน

เพราะฉะนั้น ก็รับประกันได้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบที่สีผมออกมาไม่สม่ำเสมอหรือตัดผมเบี้ยวไปข้างหนึ่งอะไรทำนองนั้นแน่นอน

 

การเปิดร้านทำผมแบบไฮเทคของ Amazon ในครั้งนี้แม้ว่าจะสร้างความประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อมองภาพใหญ่แล้วก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะ beauty tech เป็นหมวดหมู่ของเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง บริษัทเครื่องสำอางหลายแห่งลงทุนไปกับการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยในการนำเสนอสินค้าของตัวเองและเพิ่มประสบการณ์ให้กับลูกค้าในแบบที่ลูกค้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

Beauty tech ถูกดันให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อคนต้องล็อกดาวน์อยู่ภายในบ้านและไม่สามารถออกไปรับบริการความงาม ไม่ว่าจะเป็นการทำทรีตเมนต์หน้า บำรุงผิวกาย ตัดผม ทำสีผม ทำเล็บ ฯลฯ ได้ที่ร้านอย่างสะดวกสบายอีกต่อไป

การนำเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อให้คนสามารถดูแลความงามด้วยตัวเองได้ดีขึ้นก็เลยกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่คนทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจ

การเติบโตของอุตสาหกรรม beauty tech นี้อาจจะมีมูลค่ามากกว่า 34,000 ล้านดอลลลาร์สหรัฐภายในปี 2024 เลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกอย่าง L’Or?al Paris ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการให้ผู้ใช้งานวิเคราะห์สภาพผิวของตัวเองได้จากที่บ้านโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปใช้เครื่องมือตามช็อปอีกต่อไป เพียงแค่ถ่ายภาพเซลฟี่ของตัวเองแล้วส่งไปให้ เอไอก็จะวิเคราะห์และประเมินผลสุขภาพผิว ตั้งแต่รูขุมขน รอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ความกระชับ และโทนสีต่างๆ เพื่อแนะนำวิธีการดูแลผิวด้วยตัวเองและผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ควบคู่กัน

หรือบางแบรนด์ก็เลือกออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับมืออาชีพที่ปกติลูกค้าต้องมารับบริการที่สปาเท่านั้นให้สามารถกลายเป็นแพ็กเกจกะทัดรัดที่ส่งให้ลูกค้าไปทำเองที่บ้าน โดยที่ต้องนัดหมายกับนักบำบัดให้วิดีโอคอลล์สอนวิธีการทำไปพร้อมๆ กัน

 

กลับไปที่ตัวอย่างของการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อวางสีลิปสติกลงบนริมฝีปากของเราได้อย่างสมจริง

เทคโนโลยีนี้ไม่ได้แค่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายของการช้อปปิ้งเครื่องสำอางจากที่บ้านเท่านั้น แต่ในยุคที่เราต้องระมัดระวังการสัมผัสระหว่างกันมากขึ้น

การลองเครื่องสำอางในร้านจึงเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงและควรหลีกเลี่ยง Augmented Reality ในรูปแบบซ้อนภาพเสมือนเข้าไปบนหน้าและตัวเราจึงเข้ามาตอบโจทย์เรื่องความเป็นอนามัยนี้ได้อย่างลงตัวที่สุด

Amazon บอกว่าตอนนี้ร้านทำผมยังคงเป็นแค่การทดลองในช่วงเริ่มต้นเพื่อที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ และยังไม่มีแผนที่จะเปิดสาขาที่อื่น

แต่ไม่ต้องเดาก็น่าจะมั่นใจได้ว่าคอนเซ็ปต์ของการเปลี่ยนให้ร้านทำผมของเรากลายเป็นฮับของ beauty tech นั้นเป็นสิ่งที่จะเห็นได้หนาตามากขึ้นในอนาคตแน่ๆ

และต่อให้ Amazon ไม่ทำเอง แต่ก็คงมีผู้เล่นรายอื่นๆ ในตลาดอีกเยอะที่พร้อมทำแน่นอน