“รถไฟ” หยดเดียว

รัฐบาลคงไม่นึกว่าการใช้มาตรา 44 กับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง “ไทย-จีน” จะเกิดปฏิกิริยา “คัดค้าน” อย่างกว้างขวาง

ไม่เพียงแค่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง

แต่แวดวงสถาปนิก-วิศวกร ก็ค้าน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนก็ค้าน

กลุ่ม กปปส. และคนที่เคยคัดค้านรถไฟฟ้าความเร็วสูงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มเกิดอาการ “รถไฟฟ้าติดคอ” ขึ้นมา

เพราะเงื่อนไขต่างๆ รวมทั้งงบฯ ลงทุนของโครงการในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แย่กว่าสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แบบไม่เห็นฝุ่น

ปฏิกิริยาคัดค้านที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทำให้มีการมองว่าบางทีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว”

โดยเฉพาะถ้ารายละเอียดของโครงการมีการเปิดเผยออกมา

อะไรก็เกิดขึ้นได้

ในอดีต “มาตรา 44” อาจเป็น “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่ใช้ทีไรได้เสียงเฮทุกครั้ง

เพราะนอกจากจะนานๆ ใช้สักครั้งแล้ว

ยังผสานกับอารมณ์ร่วมตามฤดูกาล “ฮันนีมูนพีเรียด”

ยามรัก น้ำต้มผักยังหวาน

แต่ในวันนี้ คสช. ใช้ “มาตรา 44” ถี่ยิบจน “ดาบอาญาสิทธิ์” กลายเป็น “พาราเซตามอล”

ใช้บ่อยราวกับยาสามัญประจำบ้าน

“ความศักดิ์สิทธิ์” จึงลดมนต์ขลังลง

อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะพ้นช่วง “ฮันนีมูนพีเรียด” ของรัฐบาล

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการเมืองไทย รัฐบาลใดที่บริหารประเทศมานานเกิน 2 ปี คนจะเริ่มชินชา ไม่รู้สึกว่าเป็นของแปลกใหม่น่าทดลองเหมือนเดิม

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็เช่นกัน

นับตั้งแต่เข้าสู่ปีที่ 3 เป็นต้นมา เสียงบ่น เสียงโวยเริ่มหนาหูขึ้น

ไม่ค่อยมีใครกลัว คสช. เหมือนเดิม

ถามว่าปรากฏการณ์ “เชื้อไฟ” แห่งวิกฤตศรัทธาในวันนี้คืออะไร

อย่าลืมเรื่อง สนช. ปรับกติกาใหม่ให้สมาชิกลาประชุมกี่ครั้งก็ได้

ทั้งที่สมาชิก สนช. จำนวนมากควบหลายตำแหน่ง รับเงินเดือนทุกตำแหน่ง

แต่ไม่ทำงาน

เรื่องแบบนี้คนไทยจำได้

หรือเรื่องการแฉเรื่องเงินค่าตำแหน่งในการโยกย้ายตำรวจ

ค่าแป๊ะเจี๊ยะโรงเรียนดัง

คนไทยก็จำได้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะปราบปรามการทุจริต

หรือเรื่องวิกฤต “บัตรทอง” ที่มีผู้คัดค้านและล้มการประชาพิจารณ์ในหลายภาค

ไม่ได้เกิดจาก “คนเสื้อแดง”

แต่เกิดจาก “พันธมิตร” ที่ร่วมชุมนุมกับ กปปส. และหรี่ตาเห็นชอบกับการรัฐประหารเมื่อปี 2557

และยังมีเรื่องเศรษฐกิจ ที่ไม่มีใครกล้าออกมาพูดแล้วว่าเศรษฐกิจดี

ทั้งหมดคือ “เชื้อไฟ” ที่รัฐบาลประมาทไม่ได้เลย