ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ
สุรชาติ บำรุงสุข
การลุกขึ้นสู้ของประชาชน!
ประวัติสังเขปการประท้วง
“ขบวนการประชาชนและการจลาจลเป็นสิ่งเก่าแก่เท่ากับอารยธรรมของมนุษยชาติ และมีมาก่อนที่ทวิตเตอร์จะถูกสร้างขึ้นเสียอีก การปลุกระดมผู้เห็นต่างอาจใช้วิธีการบอกต่อ จากปากสู่ปาก หรือแม้กระทั่งใช้สัญญาณควันเพื่อรวบรวมคนในการลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐ”
Eduardo Paes
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนในรูปแบบของ “การประท้วงใหญ่” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองของหลายประเทศ
และอาจถือเป็นวิกฤตทางการเมืองหนึ่งที่รัฐบาลเผด็จการต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะรัฐบาลเผด็จการมักมีปัญหาความชอบธรรมในตัวเอง และถ้าการประท้วงใหญ่เดินไปถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ภาวะที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนกับ “การเติมเชื้อไฟ” อย่างดีให้แก่การกบฏภายใน
หากพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว เราอาจสรุปได้ด้วยข้อสังเกตประการหนึ่งว่า การประท้วงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ การส่งสัญญาณถึงความต้องการของภาคประชาสังคมที่ใช้วิธีการกดดันในรูปแบบของการประท้วงเพื่อให้รัฐดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง โดยเฉพาะการเปิดการเมืองให้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น
ดังนั้น การประท้วงใหญ่จึงเป็นดังจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง และไม่ว่าการประท้วงเช่นนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ดังจะเห็นได้ว่า การสามารถรวมคนจำนวนมาก จนทำให้เกิดการประท้วงขนาดใหญ่ได้ ย่อมเป็นเส้นเวลาการเมืองที่สำคัญของสังคมนั้น
หากย้อนกลับไปดูในอดีต เราจะเห็นตัวอย่างสังเขปของการประท้วงใหญ่ที่ส่งผลในทางการเมือง
ประท้วงระบอบซาร์รัสเซีย
การประท้วงใหญ่ต่อระบอบการปกครองแบบเผด็จการของพระเจ้าซาร์ในรัสเซียในต้นปี 1917 แต่ความดึงดันจะที่เหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้นำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับอำนาจรัฐของพระเจ้าซาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาวะของความเป็นรัฐบาลอำนาจนิยมในระบอบการปกครองเก่าที่ไร้ประสิทธิภาพเป็น “เชื้อไฟ” อย่างดีกับการประท้วง
แม้จะเกิดการปราบปรามด้วยกำลังตำรวจ แต่ก็เป็นเพียงชัยชนะชั่วคราว
เพราะเมื่อตำรวจเปิดการยิงใส่ผู้ชุมนุมแล้ว ทหารส่วนหนึ่งได้ตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วงกับประชาชน
จนสุดท้ายรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ต้องสิ้นสุดลง
การประท้วงในปี 1917 สะท้อนให้เห็นว่า คำสั่งในการปราบปรามผู้ประท้วงไม่ใช่คำตอบของชัยชนะทางการเมือง
และเมื่อตำรวจลั่นกระสุนสังหารประชาชนบนถนน เมื่อนั้นความตายของประชาชนบนถนนได้เป็นปัจจัยที่ดึงให้กำลังพลในกองทัพให้เข้าร่วมกับประชาชนในการต่อต้านระบอบเก่า
และเมื่อทหารเข้าร่วมกับประชาชนในการต่อต้านระบอบการปกครองเดิมแล้ว
รัฐบาลในระบอบนั้นก็เดินทางไปสู่จุดจบ และนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญของโลกในตันศตวรรษที่ 20 คือ “การปฏิวัติรัสเซีย”
ประท้วงเพื่อเอกราชอินเดีย
การเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่นำโดยมหาตมะคานธี ในช่วงเวลาจากปี 1930 ถึงปี 1947 ก็อาศัยการประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
การประท้วงครั้งนั้นได้กลายเป็นตัวแบบสำคัญของการประท้วงในแบบที่เป็น “อหิงสา”
และกลายเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญกับรัฐบาลลอนดอน จนต้องสละอำนาจการปกครอง
นำไปสู่การได้รับเอกราชของอินเดียในเวลาต่อมา
การประท้วงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชเสมอ
และแน่นอนว่าในบางประเทศ การประท้วงที่ไม่ประสบความสําเร็จจะยกระดับขึ้นไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ
ดังเช่นสงครามเรียกร้องเอกราชในเวียดนาม หรือในแอลจีเรีย เป็นต้น
เดินสู่วอชิงตัน
การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำในสังคมอเมริกันภาคใต้ ที่นำโดย ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ในช่วงทศวรรษ 1960 เปิดการเคลื่อนไหวด้วยการใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือของการเรียกร้อง
ดังจะเห็นได้ว่าในที่สุดแล้วการชุมนุมประท้วงใหญ่ที่เรียกว่า “การเดินสู่วอชิงตัน” (March on Washington) ในปี 1963 เป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์การเมืองที่สำคัญของสังคมอเมริกันในการต่อสู้เรื่องความเท่าเทียมของสีผิว
รวมทั้งการต่อสู้ในเรื่องของสิทธิในการทำงาน
การชุมนุมใหญ่ที่วอชิงตันดึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจากมุมต่างๆ ของสังคมอเมริกันเข้าร่วมการต่อสู้
อันถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของการเรียกร้องสิทธิทางการเมือง
โดยมีวลีทองจากคำกล่าวของ ดร.คิง ว่า “I have a dream” (ฉันมีความฝัน) เป็นมรดกของการต่อสู้
การประท้วงครั้งนี้มีคนเข้าร่วมมากกว่าสองล้านหกแสนคน
และเป็นแรงกดดันสำคัญให้รัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายสิทธิพลเมืองในปี 1964 และกฎหมายสิทธิการเลือกตั้ง 1965
กฎหมายนี้คุ้มครองสิทธิของคนผิวสี
และกฎหมายนี้เป็นหลักประกันว่า คนผิวดำมีสิทธิทางการเมืองที่จะมีตัวแทนของพวกเขาในรัฐบาล
ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก
การต่อสู้เพื่อให้เกิดความเป็นเสรีนิยมได้พามวลชนเป็นจำนวนมากลงบนถนนในกรุงปราก ในปี 1968
โดยผู้นำเชโกสโลวะเกียพยายามผลักดันให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพและสิทธิทางการเมือง
แต่การปฏิรูปเช่นนี้ถูกผู้นำสหภาพโซเวียต
มองว่าเป็น “การต่อต้านการปฏิวัติ” (counterrevolution) และเป็นภัยคุกคาม และนำไปสู่การส่งกำลังทหารพร้อมรถถังเข้าสลายการชุมนุมที่ปราก
การส่งกำลังทหารโซเวียตเพื่อยุติกระบวนการสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าการเรียกร้องเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองในค่ายสังคมนิยมเป็นสิ่งที่จะไม่ได้รับอนุญาตจากโซเวียตเป็นอันขาด
แม้การชุมนุมของประชาชนไม่มีทางที่รับมือกับอำนาจของรถถังโซเวียตได้เลย
แต่ความพ่ายแพ้ของผู้ชุมนุม ไม่ได้ทำให้เครดิตทางการเมืองของการต่อสู้ลดลง และได้รับการยกย่องให้เป็น “ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก” (The Prague Spring)
หรือถือเป็น “ฤดูใบไม้ผลิทางการเมือง” ของโลกสมัยใหม่
ต่อต้านระบอบชาห์
ระบอบอำนาจนิยมของอิหร่านเผชิญกับวิกฤตการเมืองครั้งสำคัญในปี 1978-79 เมื่อประชาชนเป็นจำนวนมากตัดสินใจออกมาบนถนนอย่างไม่เกรงกลัวกับการปราบปราม
จนระบอบเก่าที่เข้มแข็งต้องล้มลง และนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามในต้นปี 1979
การประท้วงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ เกิดผลอย่างมีนัยอย่างสำคัญ
จนถูกเรียกว่า “การปฏิวัติอิหร่าน”
และเป็นมากกว่าฤดูใบไม้ผลิ
ประท้วงใหญ่ในฟิลิปปินส์
การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีมาร์กอสในฟิลิปปินส์ในปี 1986
ก็ใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือ
และการประท้วงที่เกิดขึ้นในกรุงมะนิลากลายเป็นการรวมคนในสาขาอาชีพต่างๆ ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการ
ออกมาสู่เวทีการประท้วงบนถนน
ประท้วงเผด็จการทหารในชิลี
การประท้วงเช่นนี้ยังเห็นได้จากการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารของประธานาธิบดีปิโนเชต์ในชิลีในปี 1988
แม้ระบอบการปกครองของทหารในชิลิจะมีความเข้มแข็ง
แต่การประท้วงใหญ่ก็เป็นสัญญาณของความคลอนแคลนของอำนาจของทหาร
หรือเป็นสัญญาณของการที่สังคมไม่กลัวกับอำนาจรัฐเผด็จการ
และคนกล้าที่จะออกมาบนถนนเพื่อแสดงความเห็นต่าง
คนงานประท้วงคอมมิวนิสต์โปแลนด์
การก่อการประท้วงใหญ่ของคนงานท่าเรือในโปแลนด์ในปี 1980 จนถึงปี 1989 ที่ไม่เพียงทำให้รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์ต้องเผชิญปัญหาความชอบธรรมเท่านั้น
หากยังส่งผลถึงอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลสหภาพโซเวียตในการควบคุมโปแลนด์อีกด้วย
จนอาจต้องถือว่า การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นในโปแลนด์
คือสัญญาณการเริ่มต้นของอำนาจของโซเวียตที่เริ่มถดถอยลง
และเป็นดังจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสิ้นสุดของสงครามเย็นในปลายปี 1991
การประท้วงแบ่งแยกผิว
การต่อสู้กับลัทธิแบ่งแยกผิวในแอฟริกาใต้ในช่วงทศวรรษ 1980 ได้ใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือของการต่อสู้เช่นกัน
จนในท้ายที่สุดได้ทำให้รัฐบาลของคนผิวขาว
ต้องสิ้นสุดลง
ฤดูใบไม้ผลิกลางทะเลทราย
หนึ่งในปรากฏการณ์การประท้วงครั้งสำคัญของการเมืองโลกร่วมสมัยคือ การลุกขึ้นสู้ของชาวอาหรับ
ที่เริ่มต้นขึ้นจากการประท้วงใหญ่ในตูนิเซียในช่วงปลายปี 2010
และขยายตัวไปสู่อียิปต์ในต้นปี 2011
และขยายตัวไปในโลกตะวันออกกลาง จนต้องถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่การประท้วงใหญ่ของประชาชนนำไปสู่การล้มระบอบเผด็จการในโลกอาหรับ
จนถูกเรียกว่าเป็น “อาหรับสปริง” หรือเป็นดังการมาของ “ฤดูใบไม้ผลิในโลกอาหรับ” (The Arab Spring)
แม้ในอีกด้านของอาหรับสปริงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ลิเบีย และซีเรีย เป็นต้น
การต่อสู้ด้วยการ “ลงถนน” ของคนเป็นจำนวนมากในโลกอาหรับได้กลายเป็นแรงบันดาลใจทางการเมืองครั้งสำคัญสำหรับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเวทีโลก
แม้ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคได้จริง และในที่สุดรัฐประหารจะหวนคืนในการเมืองอียิปต์ในปี 2013
แต่ภาพการต่อสู้ของชาวอาหรับก็ยังเป็นตัวแทนของการต่อสู้กับระบอบเผด็จการเสมอ
ฤดูใบไม้ผลิบนเกาะเล็ก
การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 และประท้วงใหญ่อีกครั้งในปี 2019 ต่อการขยายอิทธิพลของจีนในฮ่องกง
จนทำให้รัฐบาลฮ่องกงมีความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้นนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการรวมคนระหว่างนักศึกษากับประชาชนฮ่องกง ที่พวกเขาไม่ยอมรับต่อความพยายามที่จะทำให้ฮ่องกงอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองของรัฐบาลปักกิ่ง
เพราะหลักการเดิมที่ถูกนำเสนอคือ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
การประท้วงใหญ่ในฮ่องกงได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฮ่องกงสปริง”
แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ดีว่า การต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบชัยชนะ
เพราเขาต่อสู้กับรัฐบาลอำนาจนิยมที่เข้มแข็งที่สุดคือ รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนที่จะไม่ยอมรับการปฏิรูปทางการเมืองในฮ่องกง
ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับที่ฮ่องกงจะมีทิศทางที่เป็นเสรีนิยมมากขึ้น
จีนต้องการฮ่องกงที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของคณะผู้บริหารที่เป็น “ปีกนิยมจีน”
หรือเป็นฮ่องกงที่มีแต่ “ฤดูหนาว” เท่านั้น
ฤดูใบไม้ผลิที่เมียนมา
การชุมนุมใหญ่หลังรัฐประหาร 2021 ในเมียนมา ที่ประชาชนจากสาขาอาชีพต่างๆ และจากกลุ่มการเมืองต่างๆ วันนี้คนไม่กลัวการปราบปราม
แม้จะมีการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากก็ตาม
แต่คนก็ยังลงถนนไม่หยุด จนเป็นเสมือน “ฤดูใบไม้ผลิ” กำลังเบ่งบาน
และพิสูจน์ถึง “อำนาจประชาชนกับอำนาจปืน”
เหตุการณ์ที่ถูกหยิบยกมาในข้างต้นก็เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของปัจจัยการประท้วงใหญ่ในสังคมที่มีความคาดหวังว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
แม้ในบางกรณีผลสืบเนื่องอาจจะไม่ได้เป็นไปตามความหวังเช่นใน “ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก” แต่ภาพการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเป็นจำนวนมาก ที่กล้าท้าทายต่อระบอบเผด็จการ ก็ต้องถือว่าความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือนแล้ว
ขอเพียงประชาชนกล้าลุกขึ้นสู้ ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บจะผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน…
ขอคารวะต่อการต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนทั่วทุกมุมโลก!