ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง
ธงทอง จันทรางศุ
กลุ่มไลน์ผู้ปกครอง ‘นิสิต’
บ่อยครั้งที่ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตย้อนหลังไปประมาณสักสามชั่วคน ผมจะมีความรู้สึกในใจว่า อายุขัยของคนไทยสมัยก่อนไม่ยืนยาวนัก
จากรูปถ่ายเก่าแก่ที่มีหลงเหลืออยู่บ้าง อายุเพียงแค่ 50 ปีก็ดูแก่หงำเหงือกเต็มที
ใครมีอายุผ่านเขต 60 ปีไปได้ก็ต้องเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ เพราะโดยค่าเฉลี่ยแล้วอายุของคนทั้งประเทศไม่ได้ยืนยาวถึงเพียงนั้น
แตกต่างจากยุคสมัยนี้ ที่คนไทยของเราอายุยืนขึ้นมาก หลายคนอายุ 90 ปี 100 ปีแล้ว แต่ยังกระฉับกระเฉงและมีฤทธิ์อยู่พอสมควรเลยเดียว
เมื่ออายุเฉลี่ยของคนไทยครั้งกระนั้นมีสภาวะดังกล่าว จึงอาจเป็นไปได้ว่า นาฬิกาชีวิตของคนยุคนั้นเดินเร็วกว่าคนสมัยนี้มาก
ผมหมายความและขอขยายความว่า ชีวิตช่วงเด็กของคนไทยหรือชาวสยามครั้งก่อนมีเส้นขีดคั่นชัดเจนเพื่อเปลี่ยนฐานะจากความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่น
ด้วยพิธีโกนจุก โดยเฉลี่ยแล้วเด็กชายจะโกนจุกกันที่อายุ 13 ปี
ขณะที่เด็กหญิงจะน้อยกว่านั้นเล็กน้อย อาจจะอยู่ที่อายุ 11 หรือ 12 ปีเป็นประมาณ
ก่อนโกนจุก เด็กๆ จะวิ่งเล่นเป็นลิงทโมนอย่างไรก็ได้ ผ้าผ่อนจะมีน้อยชิ้นก็ไม่ต้องระมัดระวัง แต่เมื่อโกนจุกแล้ว ถ้ายังทำตัวเหมือนอย่างแต่ก่อนก็ย่อมเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่
หลังจากโกนจุกแล้ว ผมสังเกตว่านาฬิกาชีวิตช่วงนี้วิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก
ผู้คนสมัยนั้นจำนวนไม่น้อยต้องเริ่มทำงานช่วยเหลือครอบครัวหรือหาเลี้ยงชีพตัวเองแล้ว ตั้งแต่เวลาที่อยู่ในช่วงอายุที่สมัยนี้เรียกว่าเป็นวัยรุ่น เพราะเวลานั้นยังไม่มีโรงเรียนหรือระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการที่เก็บงำเด็กไว้ในระบบจนอายุ 18 ปีอย่างปัจจุบัน
เมื่อรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น บางคนก็มีเหย้ามีเรือน มีลูกเต้าไปตามธรรมชาติปรารถนา
ถ้ายังไม่มีเรือนไปเสียก่อน ผู้ชายทั่วไปโดยค่าเฉลี่ยแล้วก็จะบวชพระสักพรรษาหนึ่งก่อนแล้วจึงออกเรือน
นั่นหมายความว่า จะแต่งงานอย่างเป็นทางการที่อายุประมาณ 21 หรือ 22 ปี
แน่นอนครับว่า เจ้าบ่าวส่วนใหญ่ย่อมแสวงหาเจ้าสาวที่อายุน้อยกว่าตัวเอง นัยว่าจะทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ เจ้าสาวส่วนมากจึงอายุไม่ถึง 20 ปี อย่างสำนวนที่บอกว่า สิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ อะไรทำนองนั้น
เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ จากผัวหนุ่ม-เมียสาวในวันนั้น ประเดี๋ยวก็กลายเป็นพ่อตา-แม่ยาย หรือพ่อผัว-แม่ผัว มีลูก-หลานวิ่งเล่นเต็มบ้านยั้วเยี้ยไปแล้ว
เผลออีกแป๊บเดียว ก็ต้องนิมนต์พระมาสวดศพที่บ้าน หรือมิฉะนั้นก็ยกศพไปตั้งที่วัดเสียแล้ว
ว่าโดยย่อ ผมจึงรู้สึกว่าสังคมไทยในกาลก่อน ช่วงเวลาที่เป็นเด็กต่อเนื่องกับเวลาที่เป็นวัยรุ่น ถ้านำมาเปรียบกับยุคสมัยปัจจุบันแล้วจะพบว่า จะมีความสั้นยาวแตกต่างกัน
วัยรุ่นสมัยก่อนมีวิถีชีวิตและโอกาสที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบครอบครัวของตัวเองได้เร็วกว่าวัยรุ่นที่เราพบเห็นเดินถนนอยู่ในวันนี้
ถ้าจะทำการศึกษาวิจัยว่าสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไรก็เห็นจะได้ผลงานวิจัยหลายเล่ม
แต่คิดแบบโดยไม่ต้องวิจัยก็จะพบว่า เพราะลูก-หลานของเราอยู่ในโรงเรียนมากขึ้น จบจากโรงเรียนก็เรียนต่อมหาวิทยาลัย จบปริญญาตรีแล้วหลายคนยังต้องต่อปริญญาโท ปริญญาเอกไปอีก
แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ
ในวัยเรียนก่อนจบปริญญาตรี ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 22 ปี เด็กจำนวนไม่น้อยยังต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัวส่งเสียให้เล่าเรียน ความห่วงใยและความผูกพันระหว่างพ่อ-แม่ลูกจึงยาวนานกว่าความรู้สึกเรื่องเดียวกันในครั้งก่อน
รู้สึกกันบ้างไหมครับว่า ในสังคมเมืองทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีอันจะกินทั้งหลาย คุณพ่อ-คุณแม่ตามประคับประคองและเป็นห่วงเป็นใหญ่ลูกชาย-ลูกสาวของตัวเองยาวนานเป็นพิเศษ
หลายครอบครัวคุณพ่อ-คุณแม่แทบจะไปนั่งเรียนหนังสือกับลูกด้วยเลยทีเดียว
เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้รับทราบด้วยความประหลาดใจว่า ผู้ปกครองหรือคุณแม่ของนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผมยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสืออยู่ ท่านมีกลุ่มไลน์สำหรับติดต่อกันเองในระหว่างผู้ปกครอง
แปลกใจแล้วก็ต้องอยากรู้ต่อไปว่า ท่านมาพบติดต่อครั้งแรกกันอย่างไร จึงจะมีไลน์ไอดีของกันและกันได้ เพราะนึกว่าลูกหลานคงไม่อยากให้มีไลน์กลุ่มนี้เป็นแน่
ถามไถ่ได้ความว่า ในการปฐมนิเทศนิสิตแรกเข้า นอกจากการพบปะให้ข้อมูลกับนิสิตเองเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาและการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีการ “ประชุมผู้ปกครอง” ของนิสิตด้วย
มองในแง่มุมที่ดี การที่คณาจารย์ได้พบผู้ปกครองและผู้ปกครองได้รับทราบข้อมูลว่า ทุกวันนี้การศึกษาวิชากฎหมายเขาทำกันอย่างไร ชีวิตของนิสิตมหาวิทยาลัยไม่เหมือนชีวิตนักเรียนโรงเรียนมัธยม ทางเลือกของชีวิตหลังจบการศึกษาแล้วในอนาคตมีอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นคุณประโยชน์ที่ผู้ปกครองจะได้มีความเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้บ้าง
ในมุมมองอย่างนี้ พบกันครั้งเดียวก็พอครับ พบแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ต่างคนต่างไปจัดการชีวิตของตัวเอง
แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงนี่สิครับ น่าดูมาก
ท่านผู้ปกครองจำนวนหนึ่งยังคุ้นเคยกับแนวทางที่ท่านเคยทำมาตอนเป็นผู้ปกครองเด็กนักเรียนชั้นมัธยม คือต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันระหว่างผู้ปกครองด้วยกัน จะได้สอบถามตามข่าวว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ เราควรจะกำกับดูแลส่งเสริมลูก-หลานของเราอย่างไร หรืออะไรทำนองนี้ ท่านจึงตั้งไลน์กลุ่มดังว่าขึ้น
ทั้งหมดนี่เดาเอาเองนะครับ
แต่เพียงเท่าที่มีหลักฐานชัดเจนว่า เมื่อลูกของท่านผู้ปกครองท่านหนึ่งสมัครรับเลือกตั้งในองค์กรกิจกรรมนิสิต ท่านผู้ปกครองก็ลงมือช่วยหาเสียง ด้วยวิธีแจ้งไปในไลน์กลุ่ม เพื่อบอกผู้ปกครองคนอื่นว่า ขอให้ไปบอกลูกของแต่ละคนให้เลือกลูกของท่านเถิด พร้อมทั้งอธิบายขยายความอีกนิดหน่อยว่า ไม่ควรเลือกกลุ่มอื่นเพราะอะไร
ด้วยน้ำเสียงประมาณว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
อะไรจะสยดสยองถึงเพียงนี้
ฟังเรื่องนี้แล้ว ผมชักไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยระดับชาติหรือในโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยกันแน่
ผมไม่มีลูกของตัวเอง แต่นึกบอกกับตัวเองว่า ถ้าผมมีลูก และลูกผมเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย ผมจะไม่ทำอย่างนี้เป็นอันขาด
ในมุมมองของผมแล้ว วันเวลาของนิสิต-นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ที่คนรุ่นหนุ่ม-รุ่นสาวจะได้เรียนรู้วิชาการและประสบการณ์ต่างๆ ด้วยสติปัญญาและวิจารณญาณของเขาเอง ที่นี่จะเป็นเหมือนสนามซ้อมรบ หรือเวทีสำหรับฝึกฝนเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า
และผมยังหวังต่อไปด้วยว่า ชีวิตในวันข้างหน้าของเขาเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนแต่โดยลำพัง หากแต่จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในวงกว้างกว่านั้น ไปจนถึงที่สุดคือเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าไปไกลไม่ได้ถึงขนาดนั้น เอาแต่เพียงเมื่อเรียนจบแล้วสามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ ไม่เป็นปัญหาหรือสร้างแรงถ่วงให้เกิดขึ้นในโลกจนเกินสมควร แค่นั้นก็น่าพอใจแล้วไม่ใช่หรือครับ
บรรยากาศทั้งหลายในมหาวิทยาลัยจึงต้องเป็นไปเพื่อเกื้อกูลความมุ่งหมายนี้
ในขณะที่คุณพ่อ-คุณแม่ต้องไม่ทำความประพฤติอย่างผู้ปกครองโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย ครูบาอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ต้องไม่อยู่โรงเรียนอนุบาลหมีน้อยเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีหน้าที่ในระดับสูงกล่าวโดยเฉพาะคือระดับนโยบาย ที่ดูแลการอุดมศึกษาของประเทศ ก็ต้องตระหนักว่า มหาวิทยาลัยที่แท้ควรมีบทบาทแตกต่างจากโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยอย่างไร แล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อส่งเสริมให้เกิดมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพขึ้นให้จงได้
ผู้ใหญ่ของบ้านเราจำนวนไม่น้อยมีแนวโน้มที่จะเห็นเด็กผู้เป็นลูกหลานไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ยังนึกว่าลูกของตัวเองเรียนอยู่โรงเรียนอนุบาลอยู่ร่ำไป
อาจจะพอเหมาะพอสมกระมังครับ ที่ทำให้เด็กเป็นเด็กแบบยาวนาน ไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่เสียที ผู้ใหญ่ทุกวันนี้จะได้เป็นผู้ใหญ่ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมแก่ยอมเฒ่าหรือปลดเปลื้องภาระลงเสียบ้าง
มีความสุขดีจะตายไป
คงมีประโยชน์บ้างนะครับ ถ้ามีใครจะช่วยสำเนาบทความเรื่องนี้ของผม ไปแปะไว้ในไลน์กลุ่มของท่านผู้ปกครองดังที่ผมกล่าวถึงมาข้างต้นบ้าง
อ่านแล้วอย่าเพิ่งโกรธนะครับ คิดทบทวนหลายๆ รอบ แล้วค่อยโกรธกัน
โกรธมาก ความดันขึ้นสูงมาก อันตรายนะครับ
เตือนกันไว้ด้วยความปรารถนาดี