ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | จตุพร-ณัฐวุฒิ พลังใหม่ของการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยในปี ’64

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

จตุพร-ณัฐวุฒิ พลังใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี ’64

ความห่วยของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศรับรู้ร่วมกัน

ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนมีแต่คนบ่นว่ารัฐบาลเมื่อไรจะไป ทำไมไล่เท่าไรก็ไม่ออก ฯลฯ

แต่คนที่มองว่ารัฐบาลนี้ควรอยู่ยาวเพราะมีผลงานจริงๆ นั้นมีน้อยมาก มีก็แต่เหตุผลประเภทเกลียดทักษิณ-ไล่ธนาธร-ปกป้องสถาบัน

ทำไมรัฐบาลไม่มีผลงาน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้นอกจากรัฐบาลเอง คุณประยุทธ์อ้างว่าตัวเองทำงานทุกวัน แต่ระยะเวลาที่คุณประยุทธ์ยึดประเทศเป็นของตัวเอง 7 ปีก็นานพอจะทำให้ประเทศมีความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องจริงๆ ได้บ้าง

ไม่ใช่มีแค่สร้างรถไฟฟ้าซึ่งเป็นงานช่างมากกว่างานของรัฐบาล

แน่นอนว่าต้นตอของความห่วยเป็นได้ทั้งความเขลาของผู้นำรัฐ หรือรัฐตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

แต่ในกรณีรัฐบาลนี้นั้น ความห่วยอาจมาจากอีกสาเหตุที่ง่ายๆ กว่านั้นคือความไม่รู้ร้อนรู้หนาว, ไม่ตระหนักถึงปัญหา

และไม่เอาใจใส่ปัญหาอะไรเลยของรัฐบาล

ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นคน คุณประยุทธ์ยึดอำนาจแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ในปี 2557 โดยอ้างว่าคนนี้ป่วยจนต้องมีการ “ปฏิรูป” ครั้งใหญ่ แต่เจ็ดปีของการปฏิรูปมีผลอย่างเดียวคือทำให้คนตระหนักว่าคำว่า “ปฏิรูป” คือวาทกรรมของทหารเฒ่าเพื่อเข้าสู่อำนาจที่ตอนนี้เละจนทหารเฒ่าไม่พูดคำนี้อีกเลย

สังคมไทยวันนี้มีการใช้คำว่า “อิกนอเรนซ์” พูดถึงคนที่ใช้ชีวิตโดยไม่สนปัญหาส่วนรวม เป็นคนประเภทขึ้นรถเมล์แล้วฝนหยุดก็ไม่เปิดหน้าต่าง คอนโดฯ ไฟดับก็โวยว่าทำไมห้องอื่นไม่แจ้งช่าง

พูดง่ายๆ คือเป็นคนที่มีประโยชน์อย่างเดียวต่อโลกคือการบอกว่าคนห่วยคืออะไรเหมือนรัฐบาลปัจจุบัน

ล่าสุด ท่าทีรัฐบาลไทยต่อความรุนแรงในพม่าเป็นหลักฐานของความเป็นรัฐบาล “อิกนอเรนซ์” เพราะขณะที่เผด็จการพม่าฆ่าประชาชนทะลุครึ่งพัน บางวันอำมหิตขั้นฆ่าวันเดียวกว่าร้อย ซ้ำยังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มคนกะเหรี่ยงไม่มียั้งตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม รัฐบาลกลับไม่พูดหรือทำอะไรเรื่องนี้เลย

ถ้าเปรียบประเทศเป็นบ้าน ไทยเหมือนคนที่เพื่อนบ้านฆ่าคนในบ้านด้วยวิธีวิปริตอย่างเผาทั้งเป็น ยิงแม้แต่แด็กอายุหนึ่งขวบ ทุบตีคนตามใจชอบ

แต่เรากลับประกาศตัวไม่รู้ ไม่เห็น และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งที่เสียงปืน เสียงกรีดร้อง กลิ่นเนื้อมนุษย์เหม็นไหม้ ฯลฯ โชยเข้ามาในบ้านทุกวัน

ล่าสุดของล่าสุด ขณะคนกะเหรี่ยงนับพันข้ามแม่น้ำสาละวินมาไทยเพื่อหนีตายจากเครื่องบินพม่าทิ้งระเบิดถล่มตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ที่โรงเรียน-หมู่บ้าน-ค่ายผู้อพยพ รัฐบาลไทยกลับส่งทหารถือปืนไล่กะเหรี่ยงกลับ

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่าไทยไม่เคยไล่ แค่ปรับความเข้าใจจนกะเหรี่ยงไปเอง

เป็นเรื่องเลวร้ายอยู่แล้วที่คุณประยุทธ์ทำให้ประเทศไทยเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่นั่งเฉยเวลาที่คนข้างบ้านฆ่าคนในบ้านทุกวัน

แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการถือปืนหน้าประตูไล่คนหนีตายที่มาถึงประตูบ้านแล้ว

มิหนำซ้ำยังอ้างว่าที่ถือปืนไม่ได้ไล่ เป็นแค่การพูดจาดีๆ จนคนยอมถอยกลับไปตายเอง

หากเปรียบเทียบรัฐบาลประยุทธ์เป็นคน คนคนนี้ก็ยกระดับความเลวร้ายจากความ “อิกนอเรนซ์” สู่ความเป็นคนกะล่อนอย่างร้ายกาจ และหากเรื่องนี้เกิดในชีวิตจริง คนแบบนี้คือคนที่สังคมรังเกียจถึงความใจดำทั้งในแง่ปล่อยให้คนฆ่ากัน และในแง่ผลักดันให้คนไปตายด้วยเหตุผลที่ไร้ยางอาย

หากรัฐบาลเป็นคน ความใจดำของคนคนนี้มีร่องรอยให้เห็นอยู่แล้วจากวิธีปฏิบัติต่อคนบ้านเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการจับคนรุ่นลูกหลานขังคุกก่อนศาลตัดสิน

นายตำรวจเอาแต่แถลงข่าวยัดคดีเยาวชนและนักศึกษา รวมทั้งการส่งตำรวจพร้อมโล่และกระบองไปไล่ตีไล่จับทุกครั้งที่ประชาชนรวมตัว

สำหรับคนที่อำมหิตและทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อเอาคนร่วมชาติรุ่นหลังเข้าคุกแบบนี้ คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีมนุษยธรรมกับเพื่อนบ้านอย่างที่คนดีๆ ควรเป็น

เจ็ดปีของรัฐบาลประยุทธ์คือเจ็ดปีที่ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐทะลุทะลวงถึงหัวใจคนไทย มีงานเป็นตกงาน จากลุ้นเงินเดือนขึ้นกลายเป็นเงินเดือนลด รายได้จากการทำมาหากินเหือดหาย

แต่เพิ่งจะปีนี้เองที่คนไทยตระหนักชัดว่าคุณประยุทธ์มีปัญหาความไร้ประสิทธิภาพเท่ากับความไร้คุณธรรม

ถ้ารัฐบาลเป็นคน สิ่งที่คนคนนี้ทำมาตลอดคือหลักฐานของความโง่เขลา ไร้ความสามารถ บ้าอำนาจ ไม่มีความเป็นมนุษย์ กะล่อนปลิ้นปล้อนเรื่องต่างๆ ขั้นพูดขาวเป็นดำได้ตลอดเวลา

หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้าเป็นคนก็ข้ามขั้นจากคนห่วยเป็นคนเลว

ความต้องการเปลี่ยนนายกฯ และรัฐบาลเป็นความต้องการอย่างแรงกล้าของคนไทย และแม้แต่ลิ่วล้อคุณประยุทธ์ในวุฒิสภาหรือพลังประชารัฐก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมประเทศไทยควรปล่อยให้คนแบบคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ หากไม่นับข้ออ้างประเภทเกาะสถาบัน-ด่าทักษิณ-ด่าธนาธร

พูดให้ถึงที่สุด ปัญหาของประเทศนี้ในความรู้สึกประชาชนจริงๆ ไม่ใช่คุณประยุทธ์ควรเป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ แต่คือจะเอาคุณประยุทธ์ออกจากตำแหน่งอย่างไร

เพราะกติกาที่คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสภามาเลือกตัวเองเป็นนายกฯ ทำให้สภาไม่อาจมีคนอี่นเป็นนายกฯ ได้เลย

เมื่อคำนึงถึงอิทธิพลของคุณประยุทธ์เหนือสถาบันการเมือง, การระดมผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นมาอยูในสังกัด รวมทั้งการตั้งพรรคใหม่ดูด ส.ส.กลุ่มที่กลัวเข้าพลังประชารัฐแล้วถูกด่า หากไม่มีใครทำอะไร คนไทยก็จะอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลห่วยไปถึงปี 2570 เท่ากับคุณประยุทธ์จะคุมประเทศ 14 ปี

คุณประยุทธ์บีบให้การเมืองบนท้องถนนเป็นทางออกเดียวของการเปลี่ยนแปลง

คำพูดของคุณธนาธรว่า “ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส” กลายเป็นชะตากรรมที่น่าเจ็บปวดสำหรับประเทศนี้

แต่คำถามคือประชาชนจะสู้เพื่อยุติความเป็นทาสอย่างไรในเวลาที่รัฐบาลจับทุกคนยัดคดี ไม่เว้นแม้แม่ยกทราย

คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ประกาศชวนประชาชนชุมนุมไล่คุณประยุทธ์ที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรมวันที่ 4 เมษายน

และถึงแม้จะยังประเมินไม่ได้ว่าผู้ชุมนุมวันนั้นคือใคร แต่ที่แน่ๆ คือคุณประยุทธ์กำลังเผชิญการต่อต้านที่มากกว่านักศึกษาอย่างที่ผ่านมาหลังปี 2562

ที่ผ่านมานั้น นปช.และคนเสื้อแดงถือเป็นแนวหน้าของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคม และหากไม่มีรัฐประหารจนแกนนำ นปช.ทยอยไปอยู่ในคุกเพราะคดีปี 2553 หรือคดีรณรงค์ประชามติปี 2560 บทบาท นปช.ก็จะไม่ห่างหายจนคนหลงลืมอย่างตอนนี้ที่คุกทำให้ นปช.หายไปหลายปี

มีแนวโน้มการชุมนุมของคุณจตุพรจะมีฐานจากคนที่เคยต่อต้านเผด็จการทหารสมัยพฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นยุคที่ปัญหาสถาบันยังไม่เป็นประเด็นอย่างปัจจุบัน การชุมนุมรอบนี้จึงไม่น่าจะพูดถึงสถาบันอย่างการชุมนุมอื่นๆ

แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของพลังใหม่ๆ ในการขับไล่คุณประยุทธ์ที่สำคัญ

คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แถลงข่าวหลังออกจากคุกว่าไม่มีข้อมูลเรื่องการชุมนุมของคุณจตุพร แต่ทั้งคุณณัฐวุฒิและคุณจตุพรล้วนมีท่าทีให้เกียรติคนรุ่นหลังในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งคู่ คุณณัฐวุฒิประกาศอยู่ข้างนักศึกษาในคำแถลง ขณะที่คุณจตุพรเพิ่งขึ้นเวทีพร้อมครูใหญ่และจับมือร่วมกัน

ไม่ว่าปลายทางของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทยจะเป็นอย่างไร การเมืองบนท้องถนนกำลังกลับมาในเวลาที่แกนนำราษฎรเข้าคุกหมด

แผนคุณประยุทธ์เรื่องจับเด็กยัดคดี 112 ล้มเหลวในการสกัดมวลชน เพราะการเมืองบนท้องถนนยุคนี้นำโดยมวลชนที่แกนนำเป็นองค์ประกอบเท่านั้นเอง

ขั้นตอนใหม่ของการทวงคืนประเทศก่อตัวขึ้นจากรากฐานที่ทำให้เกิดตัวละครหลักปี 2562 อย่างธนาธรและอนาคตใหม่ ส่วนในปี 2563 คือนักเรียน-นักศึกษา การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยังไม่จบ เพราะต่อให้เพนกวินและเพื่อนจะอยู่ในคุก ความต้องการประชาธิปไตยคือพลังที่ไม่หายไปจากสังคมไทย

ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการรวบรวมพลังฝ่ายประชาธิปไตยทุกกลุ่มให้ร่วมมือกันได้ มองข้ามความขัดแย้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเข้าใจว่าการต่อสู้แบบประชาธิปไตยคือการระดมคนให้มากที่สุดเพื่อไปทวงคืนประเทศจากคนกลุ่มน้อยที่ทุกกลุ่มเห็นว่าเป็นปัญหาร่วมกัน

ความร่วมมือกันของคนรุ่น 40++ อย่างคุณณัฐวุฒิและคุณจตุพรคือพลังใหม่ที่จะผลักดันให้การต่อสู้ของคนรุ่น 20++ เดินหน้าต่อโดยไม่จบแค่ที่คุกอย่างผู้มีอำนาจต้องการ