“ซูเปอร์แซม” : หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ “ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่” ของผม

ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 เป็นต้นไป

คงพอจะจำเรื่องราวของ “แซม” หรือ “ณัฐพล เสมสุวรรณ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ที่ผมเขียนเพิ่มในบทส่งท้ายได้

“แซม” เขาส่งเมล์ถึงผมหลังจากอ่านหนังสือ “ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่”

คุณหมอสมวงศ์ วงศ์พระจันทร์ เป็นคนมอบให้กับ “แซม”

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือจำนวนมากมายที่มีคนมาฝากให้อ่านระหว่างนอนป่วย

สภาพของ “แซม” ตอนนั้นแย่มาก

ระดับที่เขาตัดสินใจว่าจะ “สู้” หรือ “ไม่สู้”

“แซม” บ่นกับแม่ว่าขนาดจะไปปัสสาวะยังไม่ไหวเลย แล้วจะให้อ่านหนังสืออีก

จนคืนหนึ่งเมื่อแม่กลับไปบ้าน

เขาก็ตัดสินใจหยิบ “ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่” มาอ่าน

ด้วยเหตุผลที่เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาก

“มันเป็นหนังสือเล่มเล็กที่สุดครับ”

หลังอ่านจบ เขาโทร.กลับไปหาแม่

“แม่ครับ ผมจะสู้ต่อ”

พอ “แซม” พูดจบ แม่ร้องไห้เลย

เขาบอกว่าแม่อดทนเพื่อเขามาก ตื่นไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า

ตอนเย็นมาเฝ้าเขาจนถึง 3 ทุ่มทุกวัน

เสาร์-อาทิตย์ ต้องสอนพิเศษเพื่อหาเงินมารักษาลูก

เหนื่อยแค่ไหนเธอก็ยอม

เมื่อเขาบอกว่าจะสู้ต่อ

แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่เป็นแม่

“แซม” บอกว่าหนังสือของผมทำให้เขามีกำลังใจในการสู้ต่อไป

และจากนั้นไม่นาน เขาก็ออกจากโรงพยาบาล

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 9 ปี

“แซม” หายจากโรคลูคีเมีย

แต่ผลข้างเคียงจากการรักษา ทำให้สภาพร่างกายของ “แซม” ไม่เหมือนเดิม

จากเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งราวกับกระทิง

เป็นอดีตนักมวยเวทีราชดำเนิน

ร่างกายของเขาวันนี้ผอมลง ฤทธิ์ของ “คีโม” ทำให้ผิวของเขาดำคล้ำลงกว่าเดิมมาก

“แซม” เล่าว่า วันที่ออกจากโรงพยาบาล เขาไม่กล้าเดินออกจากบ้าน

เพราะกลัวคนจะมอง

จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจเดินไปซื้อของที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

สิ่งที่เขาเผชิญเหมือนกับที่เขาคิด

ทุกคนมองเขาเหมือนตัวประหลาด

บางคนถอยห่าง

“แซม” กลับมานอนร้องไห้ที่บ้าน

เขาเก็บตัวอยู่นานทีเดียว

จนวันหนึ่งเขาคิดใหม่

เมื่อเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้

เขาก็เปลี่ยนความคิดของตัวเอง

แทนที่จะเรียกร้องให้คนมาเข้าใจเขา

เขาควรจะเข้าใจคนอื่น

เข้าใจว่าถ้าเป็นตัวเขาเอง เจอผู้ชายคนหนึ่งรูปหน้าและหน้าตาอย่าง “แซม” ในวันนี้ เขาจะคิดอย่างไร

เขาก็คงคิดกับผู้ชายคนนี้ไม่แตกต่างจากคนอื่น

“ถ้าไม่ติดยาก็ต้องเป็นเอดส์”

เมื่อเปลี่ยน “วิธีคิด” แบบ “ใจเขา-ใจเรา” ได้ “แซม” ก็สามารถเผชิญกับสายตาผู้คนได้แบบไม่สะทกสะท้าน

ชีวิตเปลี่ยน

เพียงแค่เปลี่ยน “ความคิด”

แต่สิ่งที่ตามมา ไม่ใช่แค่สภาพร่างกายของ “แซม”

ฐานะครอบครัวเขาก็มีปัญหา

ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากแม้โรงพยาบาลศิริราชจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

แม่ต้องขายบ้าน และไปเช่าบ้านอยู่

“แซม” พยายามทำงานช่วยแม่อย่างเต็มที่

ครั้งหนึ่ง เขาดูรายการฟาสต์ฟู้ดธุรกิจที่สัมภาษณ์ คุณสุเมธ ต่อสหะกุล เจ้าของร้านอาหาร “พระรามเก้าไก่ย่าง” แล้วอยากรับ “ไก่ย่าง” ของร้านนี้ไปขายเพื่อหารายได้เพิ่ม

“แซม” โทร.มาขอให้ผมช่วยนัดคุณสุเมธให้

คุณสุเมธก็ใจดีพร้อมช่วยเขาเต็มที่

แต่ปัญหาใหญ่ของ “แซม” คือ เขาเป็นโรคสตีเว่น จอห์นสัน ที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่มีต่อยาต่างๆ จนเกิดอาการอักเสบของเยื่อบุผิวต่างๆ

1 ล้านคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ 7 คน

“ผมเป็นหนึ่งในคนที่โชคดีครับ” แซมบอกผม

เขาทานเผ็ดไม่ได้เลย

ขนาดกระทะที่เคยผัดกะเพรามาก่อน ล้างกระทะแล้ว มาทำอาหารให้เขากิน ยังกินไม่ได้เลย

ประมาณนั้น

คนขายอาหารแต่ชิมอาหารที่ทำไม่ได้

ไอเดียนี้จึงล้มเลิกไป

ผมเจอ “แซม” เป็นระยะๆ

เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาตลอดมา

ตอนออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ เขายัง “ร้อน” มากตามวัย

จนวันนี้ “แซม” นิ่งขึ้นมาก

เหมือนตกผลึกทางความคิดแล้ว

วันหนึ่ง ผมเห็นภาพแซมในชุดวิ่งพร้อมเหรียญในมือในเฟซบุ๊ก

เขาเพิ่งวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตรสำเร็จ

“ภาพตัวเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลโผล่เข้ามาในความคิด

…เราเคยร้องไห้อิจฉานกที่เกาะขอบกระจกในห้องปลูกถ่ายไขกระดูก

เราอยากลุกไปฉี่ในห้องน้ำได้เอง

เราอยากโดนไออุ่นของแสงแดด

อยากโดนละอองน้ำจากไอฝน

ตอนนี้เราออกมาได้แล้ว คราบน้ำตาของเราได้จางหายไปแล้ว ทำตามความฝันให้เต็มที่ วิ่งให้ถึงเส้นชัย

ทำให้เหมือนกับว่าเราจะไม่มีโอกาสที่จะได้ทำมันอีก

หากเราต้องตายในวันพรุ่งนี้ เราต้องทำให้โลกรู้ว่าวันนี้เราทำได้

ผม วิ่ง วิ่ง วิ่ง … เดิน แล้วก็ วิ่ง วิ่ง วิ่ง”

แค่อ่านข้อความในเฟซบุ๊กของเขาก็น้ำตาซึมแล้ว

ผมตัดสินใจเชิญ “แซม” มาออก “เฟซบุ๊ก ไลฟ์”

ด้วยความเชื่อว่าเรื่องราวของเขาน่าจะเป็นกำลังใจให้คนหลายคน

เขาเล่าถึงความรู้สึกตอนที่นอนอยู่ในห้องปลอดเชื้อให้ฟังอีกครั้ง

เขาอิจฉา “นก” จริงๆ ครับ

อยากสัมผัสกับแดดข้างนอกมาก

ขนาดที่พยายามเอาตัวไปแนบกับกระจกเพื่อรับแดด

“แซม” บอกว่าสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดตอนอยู่ข้างนอก คือ ควันรถ

แต่วันนั้นเขาอยากได้กลิ่นควันรถมาก

วันที่เขาตัดสินใจวิ่ง

ตอนที่วิ่งมาได้ประมาณ 2 ก.ม.

มีป้ายบอกทาง 2 ป้าย

ป้ายหนึ่ง คือ 5 ก.ม.

อีกป้ายหนึ่ง 10 ก.ม.

ตอนนั้นเขาลังเลมาก

ถ้าเลือกทาง 5 ก.ม. ด้วยสภาพร่างกายก็คงไม่มีใครว่าได้

“แซม” มองป้ายทั้งสองอีกครั้ง

ภาพที่เขาเห็น ไม่มีคำว่า “5 ก.ม.” หรือ “10 ก.ม.” บนป้าย

มีแต่คำว่า “ได้ทำ” กับ “ทำได้”

5 ก.ม. คือคำว่า “ได้ทำ”

และ 10 ก.ม. คือคำว่า “ทำได้”

จะเลือกทางไหน

ครับ เขาเลือกป้าย 10 ก.ม.

…ทำได้

แรงของเขาหมดตั้งแต่ 5 ก.ม.แรก

5 ก.ม.สุดท้าย คือ “ใจ” ล้วนๆ

และ “แซม” ก็ทำสำเร็จ