ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
ชะตากรรม
ของลาติฟา โมฮัมเหม็ด อัลมักตูม
เจ้าหญิงแห่งนครดูไบผู้ไร้อิสรภาพ
เชคา ลาติฟา โมฮัมเหม็ด อัลมักตูม เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ดูไบ ลูกสาวของชีค มูฮัมหมัด บิน ราชิด อัลมักตูม รองประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครดูไบ ควรที่จะมีชีวิตสุขสบายท่ามกลางทรัยพ์สินมหาศาล
ทว่าเวลานี้ “เจ้าหญิงลาติฟา” กลับต้องไร้อิสรภาพ ถูกกักขังอยู่ในวิลลาหรูริมทะเลแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
และยังไม่ทราบชะตากรรมจนถึงทุกวันนี้
เจ้าหญิงลาติฟา หนึ่งในลูกๆ 25 คนของเจ้าผู้ครองนครดูไบ กลายเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2561 เมื่อสื่อทั่วโลกรายงานว่าเจ้าหญิงลาติฟาพยายามหลบหนีออกจากประเทศทางเรือ โดยความช่วยเหลือจากสายลับฝรั่งเศส
แม้นครดูไบจะเป็นเมืองสุดหรู จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก แต่ทั้งกฎหมายและวัฒนธรรมที่เข้มงวดทำให้สิทธิเสรีภาพของผู้หญิงในประเทศมีอย่างจำกัด แม้แต่สำหรับเจ้าหญิงลาติฟาเองก็ตาม
ผู้หญิงในยูเออีไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ไม่สามารถมีหนังสือเดินทาง ไม่สามารถเรียนหนังสือ และไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศอย่างที่ต้องการได้
เพื่อแสวงหาอิสรภาพ เจ้าหญิงลาติฟาและเพื่อนสนิทอย่าง “ทีนา จาอูเฮียไอเนน” ชาวฟินแลนด์ ตัดสินใจหนี ด้วยการลักลอบข้ามแดนสู่ประเทศโอมาน ก่อนจะใช้เรือบดขนาดเล็ก ต่อด้วยเจ็ตสกีขับออกสู่น่านน้ำสากลเพื่อไปต่อเรือยอชต์ และแล่นข้ามทะเลอาหรับมุ่งหน้าสู่เมืองกัว ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย
แต่ภารกิจกลับไม่ประสบความสำเร็จก่อนที่เรือใกล้จะขึ้นฝั่งประเทศอินเดีย เรือยอชต์ถูกกองกำลังติดอาวุธบุกจับกุมตัวเจ้าหญิงกลับนครดูไบ
ส่วนทีนาถูกควบคุมตัวอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา
9 เดือนหลังเจ้าหญิงลาติฟาถูกจับกุมและยังไม่มีใครรู้ชะตากรรม ทางการนครดูไบออกมาเปิดเผยว่า ปฏิบัตินอกชายฝั่งอินเดียนั้นเป็นภารกิจช่วยเหลือเจ้าหญิงลาติฟาจากการลักพาตัว
แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ นานาชาติยังคงสงสัยต่อสวัสดิภาพของเจ้าหญิง จึงกดดันให้นครดูไบแสดงหลักฐานพิสูจน์ว่าเจ้าหญิงลาติฟายังมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน นครดูไบมีการเผยแพร่ภาพการรับประทานอาหารระหว่าง “แมร์รี โรบินสัน” ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีเอชอาร์) และเจ้าหญิงลาติฟา ในเดือนธันวาคม 2561 พร้อมกับการเปิดเผยของ “โรบินสัน” ว่า เธอได้รับแจ้งว่า ลาติฟามีอาการป่วย “ไบโพลาร์”
ภาพดังกล่าวทางการนครดูไบระบุว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่าเจ้าหญิงมีอาการป่วยและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขนาดเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นยังสามารถนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าหญิงได้
เรื่องราวทั้งหมดกลับกลายเป็นเหมือนกับการจัดฉากครั้งใหญ่ เมื่อ “ทีนา” ได้รับการติดต่อจากเจ้าหญิงลาติฟา และส่งคลิปวิดีโอเล่าเรื่องราวของตัวเอง ที่ยังคงถูกกักขังอยู่ในวิลลาแห่งหนึ่งในนครดูไบ
“ฉันถูกจับเป็นตัวประกัน ฉันไม่มีอิสระ ฉันถูกขังอยู่ในคุกนี่” เจ้าหญิงลาติฟาระบุในคลิปที่ถูกเปิดเผยผ่านบีบีซีเมื่อไม่นานมานี้
เจ้าหญิงลาติฟาใช้สมาร์ตโฟนที่ลักลอบนำเข้าไปอัดคลิปตัวเองในห้องน้ำของวิลลา สถานที่ที่เจ้าหญิงระบุว่าปลอดภัยที่สุดเนื่องจากเธอสามารถล็อกประตูได้
คลิปวิดีโอดังกล่าวที่ถ่ายไว้ราว 1 ปีหลังเจ้าหญิงลาติฟาถูกจับ แสดงให้เห็นเจ้าหญิงที่ใบหน้าขาวซีด ระบุว่าเธอถูกกักขังแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต
เจ้าหญิงเล่าผ่านคลิปถึงเหตุการณ์ที่เธอถูกจับกุมว่าเธอถูกฉีดยาสลบและนำตัวกลับสู่นครดูไบ
นอกจากนี้ ยังเล่าถึงภาพการพบปะกับเจ้าหน้าที่ยูเอ็นอย่าง “โรบินสัน” ว่าเป็นการจัดฉากของทางการดูไบ
เจ้าหญิงลาติฟาระบุผ่านคลิปวิดีโอว่า ตนได้รับการติดต่อจาก “เจ้าหญิงฮายา” แม่เลี้ยงของตนให้เข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวัน โดยได้รับแจ้งว่า เป็นการทดสอบว่าเจ้าหญิงจะมีพฤติกรรมอย่างไรกับผู้คนหลังจากถูกกักขังเป็นเวลานาน
“หากทำตัวดีก็จะได้เป็นอิสระในไม่กี่วัน” เธอได้รับแจ้งแบบนั้น
เจ้าหญิงลาติฟาระบุว่า ตนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หญิงสูงวัยที่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยคือ “ข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ” เพื่อนของเจ้าหญิงฮายาที่ถูกเชิญมาร่วมโต๊ะอาหาร ขณะที่โรบินสันเองได้รับข้อมูลก่อนร่วมโต๊ะอาหารว่า เจ้าหญิงลาติฟาป่วยเป็นไบโพลาร์ และยอมรับว่า บทสนทนาไม่ได้พูดถึงชะตากรรมของเจ้าหญิงลาติฟาแต่อย่างใด
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับคนที่เป็นไบโพลาร์อย่างไร ฉันไม่ต้องการพูดในสิ่งที่จะเพิ่มบาดแผลทางใจในระหว่างมื้อกลางวันที่วิเศษ” โรบินสันระบุ
โรบินสันระบุว่า ตนอนุญาตให้ถ่ายภาพกับลาติฟาเป็นการส่วนตัวสำหรับส่งให้กับยูเอ็น และเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อทางการดูไบเผยแพร่ภาพนั้นออกมาในอีก 9 วันต่อมา
ทีนาผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มรณรงค์ “Free Latifa” และร้องเรียนเรื่องเจ้าหญิงกับยูเอ็นระบุว่า เธอตัดสินใจเผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าว หลังจากไม่สามารถติดต่อเจ้าหญิงลาติฟาได้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และหวังว่าจะเป็นการกดดันให้ชีคแห่งดูไบปล่อยตัวลูกสาวให้เป็นอิสระ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทีนาก็หวั่นเกรงถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยของเจ้าหญิงลาติฟาเช่นกัน
“หากการขาดการติดต่อกันไปเป็นเพราะถูกจับได้ว่าเธอแอบมีโทรศัพท์มือถือ ชะตากรรมของเจ้าหญิงในเวลานี้เป็นไปได้ว่าจะย่ำแย่มากๆ”
ขณะที่ล่าสุดครอบครัวของเจ้าหญิงลาติฟาออกแถลงการณ์ผ่านสถานเอกอัครราชทูตยูเออีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระบุว่า
“เธอได้รับการดูแลที่บ้าน” พร้อมทั้งยืนยันว่า คลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ผ่านบีบีซี และการรายงานจากสื่อนั้นไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงของเจ้าหญิง
คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ชะตากรรมของเจ้าหญิงแห่งนครดูไบผู้นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
รูปอยู่ใน weekly ชื่อไฟล์ ภาพประกอบบทความต่างประเทศ2-24ก.พ.64