ขอบคุณ “เปรี้ยวแอนด์เดอะแก๊ง” กลบกระแสข่าวความมั่นคง ทหารขนอาวุธไปไหน? : ในประเทศ

ทั้งสื่อหลัก สื่อรอง สื่อออนไลน์ ให้ความสนใจรายงานกันจนเกิดเป็นข้อถกเถียงว่า คงมีแต่ประเทศไทยแห่งเดียวที่ทำให้ฆาตกรฆ่าหั่นศพ กลายเป็นเน็ตไอดอล โด่งดังราวกับเป็นคนสำคัญของประเทศได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะพฤติกรรมส่วนตัวของ “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” เพราะหน้าตา เพราะวิธีการฆ่าตัดตอนที่เหี้ยมโหด หรือเป็นเพราะรสนิยมส่วนตัวของผู้ก่อเหตุ

มาแรงอย่างนี้ แถมยังแรงในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเท่าไหร่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงอดไม่ได้ที่จะบอกให้หยุดกระแสนี้ได้แล้ว ถึง 2 วันติดๆ กัน ทั้งการพูดผ่านชาวสวนจังหวัดจันทบุรีที่มาจัดอีเวนต์ ที่ทำเนียบรัฐบาล และจากการลงพื้นที่จันทบุรีวันก่อน

“บ้านเมืองมีสิ่งดีๆ มาก เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นให้พอได้แล้ว 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ยุ่งอยู่กับเรื่องเดียว เรื่องดีๆ หายหมด สังคมและต่างประเทศว่าอย่างไร มองกันอย่างไร ให้คิดบ้าง แล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร…ไม่ต้องไปอ่านแล้วสื่อ เน็ตไอดอลบ้าบอคอแตก…พอได้แล้วเรื่องเปรี้ยว เรื่องหวาน ไร้สาระ เลิกดูได้แล้ว ผิดเพี้ยนทั้งหมด แล้วก็ชินชา เปิดหน้าหนึ่งฆ่ากันทั้งหน้า เมืองนอกไม่มีแบบนี้ อาชญากรรมอาจมียิ่งกว่าเรา แต่ไม่มีลงประจานตัวเองทุกวัน แล้วสังคมก็เป็นแบบนี้ ไม่มองว่าปัญหาอยู่ที่ไหน พวกเราต้องช่วยกัน”

งานนี้จะไม่ให้ “บิ๊กตู่” ของขึ้นได้อย่างไร เมื่อมองถึงพื้นที่ข่าวในสังคม 4 คำถามที่กำลังเป็นกระแสได้ไม่กี่วัน เจอกระแส “เปรี้ยว” เบียดตกเก้าอี้ไปแล้ว แม้กระทรวงมหาดไทยจะบอกว่าเตรียมให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ ยังได้รับการนำเสนอไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของ “เปรี้ยว” เลย

ยังไม่นับผลงานรัฐบาล-คสช. ในรอบ 3 ปี ที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติการแถลง ผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยทางสถานีโทรทัศน์ แม้จะเน้นไปที่การแก้ปัญหาธงแดงไอเคโอ สางปมปัญหามาตรฐานการบินพลเรือน ผลงานที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดของรัฐบาลอำนาจพิเศษ กระแสความดังของ “เปรี้ยว” ก็ตามมากลบการนำเสนอจนได้

แต่จะโทษ “เปรี้ยว” อย่างเดียวก็ไม่ได้

หากสังเกตการณ์การทำงานของรัฐบาลและ คสช. ในช่วง 3 ปี ผลงานบางอย่างก็ยังไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร และผลงานบางอย่างของรัฐบาลอย่างด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

จนล่าสุด “บิ๊กตู่” ถึงกับสั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คน แต่งตั้งโฆษกประจำตัว เร่งพีอาร์ภารกิจผลงานรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของโรดแม็ป ก่อนส่งต่อรัฐบาลเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาต้องบอกว่าแม้ 6 รองนายกฯ จะพยายามทำผลงานแค่ไหน แต่สุดท้ายบางคนยังกลายเป็นรัฐมนตรีโลกลืมอยู่ดี

อีกกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติแก้ไขบทเฉพาะกาล มาตรา 70 ให้ กกต.ชุดปัจจุบันพ้นวาระ เมื่อประกาศใช้ร่างกฎหมายดังกล่าว

ถือเป็นการ “เซ็ตซีโร่” กกต. อย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ สร้างความไม่พอใจให้กับ 5 เสือ กกต. โดยเฉพาะ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ถึงกับออกมาตั้งสเตตัสเฟชบุ๊ก 4 คำถาม ย้อนถามกลับไปยังคนร่างกฎหมาย ว่าการออกกฎหมายแบบนี้เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่

ทางฝากฝั่งนักการเมืองก็ไม่น้อยหน้า ออกมาคัดค้าน ต่อต้านยุทธการเซ็ตซีโร่ กกต. กันอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากต่างก็ไม่ไว้ใจรัฐบาลทหาร หวั่นเป็นเกมลากยาว เพราะต่างโหยหาเวทีสภา ทำเนียบ อยากหวนคืนสนาม หลังจากตกงานมา 3 ปีจนใจจะขาด

ด้านพรรคเก่าแก่ทางการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอาศัยจังหวะนี้ จัดอีเวนต์คัมแบ๊ก กปปส. กลับเข้าพรรค ทั้งๆ ที่ คสช. ยังไม่ได้ปลดล็อกกฎเหล็กห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ข่าวก็เป็นไปอย่างเรียบๆ ไม่ดุเดือดอย่างที่ควรจะเป็น เพราะกระแส “เปรี้ยว” บดบัง

อย่าว่าแต่การเมืองที่โดนชิงพื้นที่ไป ข่าวอื่นก็จืดไปสนิทตามๆ กัน ทั้งกรณีของ เบนซ์ เรซซิ่ง ที่สัปดาห์ก่อนยังเป็นข่าวครึกโครมเกาะติดหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันแทบทุกฉบับ จากประเด็นที่สาวแพท ณปภา ตันตระกูล ดาราแฟนสาวอุ้มลูกร้องไห้ในวันส่งตัว แต่พอเจอกระแส “เปรี้ยวแอนด์เดอะแก๊ง” วิ่งแซงเข้าไป ข่าวคราวก็ซาไปทันที

เหมือนจะเป็นเรื่องดีของสาวแพทที่รอดพ้นจากสปอตไลต์ความสนใจนี้ไปได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ สาวแพทไปเปิดใจให้สัมภาษณ์ในรายการ วู้ดดี้ทอล์ก พูดในทำนองติดตลก ขอบคุณเปรี้ยว ฆาตกรฆ่าหั่นศพ ที่ทำให้ข่าวเงียบลง

“แพทต้องขอขอบคุณมากสำหรับคุณเปรี้ยว … จริงๆ เปรี้ยวเราไม่ได้อะไรนะ แต่เป็นสิ่งที่เราและเพื่อนๆ เราพูดอยู่เลยว่า เฮ้ยอีแพท มึงไปกราบที่อกเปรี้ยวงามๆ ซิ มึงได้พักสมองแปปนึงอะไรแบบนี้ จริงๆ”

พอคำสัมภาษณ์นี้ออกไป กลับกลายเป็นกระแสขึ้นมาอีก เมื่อโซเชียลรุมจวกสาวแพทเสียยับว่าเป็นการฆ่าตัวชัดๆ ที่ไปพูดขอบคุณฆาตกรเหมือนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยให้คนเลิกสนใจเรื่องตัวเอง

แต่หากใครที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจะพบว่า มีหลายเรื่องที่ควรจะเป็นประเด็น ควรจะมีความคืบหน้า ก็อาศัยช่วงนี้เงียบหายไป ทั้งเหตุระเบิดป่วนกรุง ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า และหน้าโรงละครแห่งชาติ หรือเหตุคาร์บอมบริเวณหน้าบิ๊กซี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีเพียงสันนิษฐานของฝ่ายความมั่นคงและนายกรัฐมนตรีที่มองว่า เรื่องนี้อาจมีคนจ้างวาน เท่านั้น

นอกจากนี้ ข่าวการพบการส่งระเบิด กระสุนปืนผ่านบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ของเอกชน ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับเหตุอื้อฉาวของทหารอากาศสังกัด กอ.รมน. ลักลอบขนอาวุธสงคราม ทั้งปืนอาก้า ระเบิดเอ็ม 79 กระสุนปืน จำนวนมากจากชายแดนกัมพูชาเข้ามา แต่รถคว่ำทำให้เรื่องดันแดงขึ้นมาเสียก่อนนั้น ก็ยังไม่วายถูกลดความสำคัญลงไป

“เปรี้ยวแอนด์เดอะแก๊ง” ไม่ได้ทำตัวเด่นให้เป็นข่าว แต่เพราะความแปลกไปจากปกติ ที่ผู้กระทำความผิดในลักษณะนี้มักเป็นผู้ชาย ความเปลี่ยนแปลงของสังคมในการเสพข่าวสาร ที่ไม่ใช่แค่รอการนำเสนอของสื่อหลักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ตามหลักการทำข่าวนั้น มีหลายองค์ประกอบที่คนทำข่าวจะดึงขึ้นมาเป็นประเด็นในการนำเสนอ หนึ่งนั้นก็คือ ความสนใจของปุถุชน “เปรี้ยวแอนด์เดอะแก๊ง” ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เข้าข่ายองค์ประกอบนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าความสนใจในโซเชียลมีเดีย กลายมาเป็นตัววัดความสนใจในสิ่งต่างๆ ของสังคมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเพจต่างๆ ในโซเชียลมีเดียยิ่งขุดคุ้ย นำเสนอประเด็นลึกลงไปมากเพียงใด สื่อกระแสหลักก็มักจะวิ่งตามไปด้วยเพราะเรตติ้งที่ดีเท่ากับดึงฐานโฆษณาความอยู่รอดทางธุรกิจ

ช่วงเวลานี้ อาจจะเป็นช่วงที่สื่อและสังคมจะได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน และหันกลับมาทบทวนว่า ที่ผ่านมานั้น ข่าว “เปรี้ยวแอนด์เดอะแก๊ง” ได้กระตุ้นเตือนสังคมไปมากน้อยแค่ไหน

หรือมันจะเป็นแค่เพียงการเสพข่าวเพื่อความมันส์ของสังคม เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ ณ ขณะนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ข่าวกระแสพร้อมที่จะตีตกข่าวหนักให้พ้นทางได้หากสังคมไม่สนใจพอ!!