ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
ย่ำเท้า-ตาสว่าง
ปกติผมเป็นคนที่ถือคติมาแต่ไหนแต่ไรว่า “การออกกำลังกายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ”
ดังนั้น เรื่องของการออกกำลังกายไม่ว่าจะมากจะน้อยเพียงใดจึงเป็นเรื่องที่อยู่ไกลตัวผมมาก
ถึงแม้คุณหมอผู้คุ้นเคยจะขู่เข็ญให้ออกกำลังกายบ้างบ่อยครั้งเพียงใดก็ตาม ผมซึ่งเป็นคนไข้เกรดต่ำก็ทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น
เพื่อนฝูงญาติมิตรจำนวนมากก็พยายามชักจูงให้ผมออกกำลังกาย หลายคนบอกว่าเอาเพียงแค่เดินวันละครึ่งชั่วโมงก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับมนุษย์เช่นผม
แต่ผมก็ยังรั้งรอการปฏิบัติมาอีกเนิ่นนาน
จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อยู่ดีๆ อากาศหนาวก็ลงมาถึงกรุงเทพฯ เสียอย่างนั้น อุณหภูมิบางวันลดลงต่ำถึง 16 หรือ 17 องศาเซลเซียส บางทีก็ขยับขึ้นไปหน่อยไต่ระดับอยู่ที่ประมาณ 21 หรือ 22 องศาเซลเซียส รวมเป็นเวลาทั้งสิ้นนานถึงเกือบสองสัปดาห์
ช่วงเวลานี้เองต้องถือว่าเป็นเวลาทองของใครหลายคนรวมทั้งผมด้วย เพราะอากาศเย็นขนาดนี้เอื้อเฟื้อชักจูงใจให้ผมเดินออกจากบ้านตอนเช้า เพื่อไปเดินตามถนนและตรอกซอกซอยใกล้บ้านประมาณวันละหนึ่งชั่วโมง
เพราะอารมณ์ที่บอกตัวเองว่าอากาศรู้เห็นเป็นใจเหลือเกิน เดินเท่าไหร่เหงื่อก็ไม่ออก เวลาเดินแต่ละวันจึงมีความสุขมาก
แหะ แหะ พออากาศร้อนกลับคืนมาผมก็หยุดการเดินออกกำลังกายแล้วนะครับ
คุณหมอโปรดอย่าดีใจจนเกินเหตุ ฮา!
แต่ประเด็นที่จะเล่าสู่กันฟังในวันนี้ไม่ใช่เรื่องคุณงามความดีของการเดินออกกำลังยามเช้าหรอครับ
หากแต่จะมาเล่าให้ฟังว่าการเดินไปตามถนนหนทางต่างๆ แทนที่จะเป็นการนั่งรถผ่านไปแบบวูบวาบตามปกติของวิถีชีวิตที่ผมนั่งรถไปไหนมาไหนอยู่เสมอ ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ทำตัวเป็นมนุษย์เดินดิน
ผมได้เห็นหรือรู้สึกอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ข้อแรก คือ การเดินเท้าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ว่าโดยเฉพาะเจาะจงก็ต้องบอกว่าบ้านผมอยู่ซอยรัชดาภิเษก 32 ปากซอยอยู่ตรงข้ามศาลอาญาครับ
ซอยที่ว่านี้ก็เหมือนกับซอยอีกหลายร้อยซอยในเมืองไทยที่สามารถเดินซอกซอนเชื่อมต่อไปได้อีกหลายซอยในละแวกนั้น
บางวันผมเดินข้ามสะพานที่อยู่ปลายซอยข้ามคลองลาดพร้าวไปสู่ถนนลาดพร้าว-วังหิน บางทีก็เดินไปหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
โทรศัพท์มือถือที่ผมจะพกติดตัวไปบอกสถิติว่าผมเดินแต่ละวันได้ระยะทางไม่น้อยกว่า 5 กิโลเมตร
แต่ละวันผมได้เห็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตามถนนหนทางที่ว่านี้ผมเคยนั่งรถผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่การนั่งรถผ่านไปเพียงชั่ววูบ ไม่ทำให้ผมสังเกตเห็นอะไรได้ละเอียดลออ
ตรงกันข้ามกับการเดินต่างหากที่ทำให้เราเห็นวิถีชีวิต อาคารบ้านเรือน ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว อาคารชุด หรือแม้กระทั่งชุมชนแออัด ต้นไม้ที่ออกดอกสีสันต่างๆ
เห็นกองขยะ เห็นขบวนการรถซาเล้ง เห็นหมาที่เขาเลี้ยงอยู่ในบ้าน เห็นหมาที่ไม่มีเจ้าของเดินโซซัดโซเซอยู่ริมถนน เห็นรถเข็นขายหมูปิ้ง ขายปาท่องโก๋ ฯลฯ
เพื่อนสนิทของผมรายหนึ่ง ปกติต้องเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือในประเทศไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะเป็นคนตัวคนเดียว ไม่มีภาระอะไรต้องห่วงใย พอเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้นเช่นในเวลานี้ก็ไปไหนไม่รอด ที่พักอาศัยก็เป็นห้องในคอนโดมิเนียมย่านสะพานควาย เหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นฝาผนังห้องล้อมรอบตัวอยู่
อย่ากระนั้นเลย แต่ละวันเธอจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินไปตามถนนและซอยต่างๆ กลับมาถึงที่พัก เธอก็เขียน LINE เล่าให้เพื่อนฟังว่าแต่ละวันไปพบเห็นอะไรมาบ้าง มีร้านอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ มีเรื่องราวแปลกใหม่อะไรที่ได้พบเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น บางวันนอกจากการเดินตามถนนแล้วเธอยังไปเดินตามทางรถไฟด้วย
พอรอดจากการถูกรถไฟทับก็กลับมาเขียนเล่าเรื่องประจำวันให้เพื่อนฟังว่าสองข้างทางรถไฟมีอะไรบ้าง
สนุก และไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
เมื่อผมเป็นคนอ่านเรื่องที่เธอเขียน ผมก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งว่าการเดินนั้นมีเสน่ห์ของมันเองที่ไม่เหมือนกับการนั่งรถ
ต่อเมื่อมาประสบด้วยตัวเองในการเดินเท้าในละแวกบ้านระหว่างช่วงเวลาอากาศเย็นที่ผ่านมา ผมจึงเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ที่เพื่อนของผมเล่าให้ฟังในแต่ละวันนั้นหมายความว่าอะไร
เพียงแค่ที่ผมเดินไปได้เห็นแม่ค้ารถเข็นขายหมูปิ้งวันละไม่น้อยกว่าสามเจ้า ตั้งอยู่ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ก็แทบจะต้องกลับมาทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “วิเคราะห์ความหลากหลายของกิจการหมูปิ้ง : กรณีศึกษาละแวกซอยรัชดาภิเษก 32” เสนอมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่งเพื่อขอรับปริญญาโทปริญญาเอกเสียแล้ว
รวมทั้งกรุงเทพฯ ในแต่ละวัน เราบริโภคหมูปิ้งกันกี่แสนไม้หนอ?
ต้นไม้หลายต้นที่แตกดอกออกช่ออยู่ในบ้านหลายหลังที่ผมเดินผ่าน ก็เป็นต้นไม้ที่น่าสนใจและไม่รู้จักมาก่อน
ผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกลับมาเพื่อมาสืบถามต่อไปว่าเจ้าต้นที่ว่านั้นชื่ออะไร ปะเหมาะเคราะห์ดีจะได้หามาปลูกในบ้านของเราบ้าง
เรื่องแบบนี้ขอย้ำว่านั่งรถผ่านไปมองไม่เห็นหรอกครับ
ข้อสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าข้อแรกเสียด้วยซ้ำ คือผมพบว่า บาทวิถีหรือฟุตปาธของเมืองไทยนั้นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่พึงมีพึงเป็นเป็นอันมาก
เวลานี้ดูเหมือนเสียงปี่เสียงกลองของสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเริ่มดังขึ้นมา
ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนไหนมีนโยบายเรื่องทำบาทวิถีของกรุงเทพฯ ให้เป็นโล้เป็นพายขึ้นมาได้จริง ลงเลือกตั้งอีกกี่หน ผมก็จะตามไปเลือกจริงๆ นะ
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่เป็น “มนุษย์นั่งรถยนต์” แบบผม เราถึงไม่เคยเห็นหัวอกของคนเดินเท้า ว่าเขาต้องพบกับปัญหาอุปสรรคอะไรบ้างในแต่ละวัน
พูดไปทำไมมี มีคนบอกมาตั้งนานแล้วว่า ถนนเมืองไทยนั้นทำไว้ให้รถวิ่ง ส่วนคนที่ไปเดินอยู่ริมถนนนั้นเป็นแต่เพียงพลเมืองชั้นสอง อย่าได้คิดเรียกร้องอะไรมากเป็นอันขาด
พอผมไปเดินเท้าเข้าจริงเพียงแค่ 10 วัน ผมก็พบว่าทางเท้าของเมืองไทยมีปัญหาทั้งเรื่องขนาดและคุณภาพ
เรื่องขนาดนั้น ข้อใหญ่ใจความคือเล็กและแคบ
บางตอนไปเจอเจ้าถิ่น คือต้นไม้บ้าง เสาไฟฟ้าบ้าง ป้ายประกาศต่างๆ บ้าง ขวางทางจังก้าอยู่ คนเดินเท้าต้องลงไปเดินที่พื้นจราจรสำหรับรถวิ่งด้วยความจำเป็นบ่อยครั้ง ถูกรถชนตายไปก็หลายคนแล้ว เหลือรอดชีวิตมาเขียนบทความแบบผมเพียงไม่กี่คน
ส่วนเรื่องคุณภาพนั้นเล่า ความตะปุ่มตะป่ำเป็นลุ่มเป็นดอน เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติพื้นฐานของทางเท้าเมืองไทย เวลาเดินบนบาทวิถีเหล่านั้น คนเดินต้องมีสมาธิเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้สะดุดล้มลง
เรียกว่าถ้าใช้วิธีเดินแบบจงกรม ภาวนาว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ” สลับกันไปได้ตลอดหนทางจะดีมาก
นี่ขนาดเราเป็นคนตาดีเท้าดีอยู่นะครับ ถ้านึกว่ามีคนพิการตาบอด หรือคนที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกแล้วนั่งรถเข็นมาใช้ทางเท้าเหล่านี้ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ความเห็นอกเห็นใจก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีตรีคูณ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามาตรฐานทางเท้าหรือฟุตปาธของเมืองไทยนั้นใช้ตำราคนละเล่มกับมาตรฐานสากลหรืออย่างไร แต่ดูเหมือนเงินจะใช้ไม่น้อยกว่าเขาเลย
อดคิดไม่ได้ว่า เฉพาะแค่เรื่องทางเท้ากับถนนสำหรับรถวิ่งนี้ก็เป็นกระจกที่สะท้อนให้เราเห็นความเป็นไปในระบบใหญ่ของเมืองไทยได้ดีทีเดียว
โดยค่าเฉลี่ยแล้วก็ต้องบอกว่า ทางสัญจรที่เรียกว่าถนนและทางเท้าซึ่งควรเป็นของที่มีอยู่คู่กันนั้น ทางราชการเน้นน้ำหนักเรื่องรถวิ่งมากกว่าเรื่องของคนเดิน
ดูเหมือนจะมีพลเมืองชั้นหนึ่ง พลเมืองชั้นสองอยู่กรายๆ
ผมก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรหรอกครับ
เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งนั่งรถเล่นไปเล่นมาอยู่ช้านานแล้ว ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
พอมาเดินเท้าเข้าไม่กี่วัน เกิดจะได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาว่าพลเมืองชั้นสองนั้นเขาลำบากยากเข็ญอย่างไร
ว่าแล้วก็ขอเชิญผู้สมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทุกคน หรือแม้แต่นักการเมืองตำแหน่งใหญ่โตทั้งหลาย ลงมาเดินบนบาทวิถีละแวกบ้านท่านดูบ้าง นอกจากจะเห็นรถเข็นขายหมูปิ้งแล้ว
ท่านจะได้เห็นอะไรดีๆ อีกมาก
เหมือนที่ผมได้ตาสว่างมาแล้วยังไงล่ะครับ